Site icon Motherhood.co.th Blog

กินของแปลก ของไม่น่ากิน ในช่วงแพ้ท้อง มีจริงเหรอ?

แพ้ท้องแล้วกินของแปลก

อาการแพ้ท้องแล้วอยากกินอะไรแปลกๆมีจริงเหรอ?

กินของแปลก ของไม่น่ากิน ในช่วงแพ้ท้อง มีจริงเหรอ?

อาการแพ้ท้องของแม่ท้องไตรมาสแรกหลักๆจะเป็นเรื่องของความอยากกินนั่นกินนี่นะคะ มีหลายๆครั้งที่เราจะเห็นคุณแม่บางคนอยาก “กินของแปลก” เป็นของที่ไม่น่าจะนำมากินได้ หรือเป็นของกินได้นี่แหละแต่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่กินกันแบบนั้น หลายๆคนคงสงสัยนะคะว่าเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ทั้งตัวคุณพ่อเองหรือคนใกล้ชิดในครอบครัวคงกังวลว่าถ้าคุณแม่เกิดอยากกินของประหลาดขึ้นมาตอนแพ้ท้อง เราจะหามาให้กินดีหรือเปล่า จะมีอันตรายหรือไม่อย่างไร ติดตามหาคำตอบไปด้วยกันในบทความตอนนี้ค่ะ

บางครั้งแม่ท้องก็อยากกินอะไรที่แปลกไปกว่าอาหารธรรมดา

ทำความรู้จักกับอาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง (Morning sickness) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆในร่างกายขณะตั้งครรภ์ เช่น มีการเพิ่มของฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin (HCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ช่วยการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ผลิตโดยรก ฮอร์โมน Thyroxine ที่เป็นฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ นอกจากนั้น ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ช้าลง จึงทำให้อาหารย่อยช้า เพิ่มความรู้สึกท้องอืด อึดอัด ไม่สบายในท้องให้คุณแม่มากขึ้น

อีกปัจจัยหนึ่งอาจมาจากสภาพจิตใจ เพราะผู้มีจิตใจเข้มแข็งมักไม่ค่อยมีอาการแพ้ท้อง หรือมีอาการน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่จิตใจอ่อนไหว ก็เป็นอีกสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ท้องมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ความอยากกินกับอาการแพ้ท้อง

ฮอร์โมน HCG มีผลทางอ้อมคือ เมื่อรู้สึกอ่อนเพลียแล้วจะทำให้มีอาการวิงเวียนและคลื่นไส้ ระบบประสาทจะสั่งการให้อยากรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เพื่อเป็นการบรรเทาอาการคลื่นไส้ดังกล่าว อีกทั้งยังมีปฏิกิริยากับสิ่งที่สัมผัสได้ ทั้งกลิ่น รส เสียง สัมผัส อีกด้วย คุณแม่บางท่านอาจมีอาการแพ้กลิ่นน้ำหอม หรือเหม็นกลิ่นคนใกล้ตัวได้เช่นกัน

โดยปกติแล้วผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และแพ้ท้องกว่า 84% จะมีความอยากกินอาหารบางอย่างที่นอกเหนือไปจากอาหารที่พวกเธอกินอยู่ในชีวิตปกติ เช่น สเต็กดิบๆ เนื้องู หรือนำของกินมาผสมกันแบบแปลกๆ เช่น เยลลี่แบบละลายน้ำร้อนแต่เติมเกลือลงไป บีบมัสตาร์ดใส่โดนัท หรือน้ำแข็งแต่ต้องแงะมาจากช่องฟรีซตู้เย็น มีแค่จำนวน 0.02% เท่านั้น ที่มีความอยากกินของแปลกประหลาดพิศดารออกไป หรือมีพฤติกรรมในการสูดดมกลิ่นอะไรที่แปลกไปจากปกติ กลิ่นที่คนทั่วๆไปไม่นำมาดมเล่น เช่น ทราย ดิน ดินสอพอง ถ่าน สบู่ น้ำยาเช็ดกระจก ชอล์กเขียนกระดาน ผงซักฟอก ปุ๋ยใส่ต้นไม้ ดมกลิ่นน้ำยาเคลือบเงา กลิ่นน้ำมันตามปั๊ม กลิ่นแก๊สหุงต้ม กลิ่นน้ำยาทาเล็บ กลิ่นน้ำยาเคมีในร้านทำผม ฯลฯ

แม่ท้องหลายคนอยากกินดินหรือทรายในช่วงแพ้ท้อง

ตามธรรมชาติแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตั้งครรภ์บางชนิดจะกินดิน ตัวอย่างเช่น ช้างที่ต้องตามหาดินโป่งหรือดินสีเหลือง ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นดินที่มีปริมาณฟอสเฟตมากที่สุด และยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่กินดินแบบนี้ เหตุผลก็คือช่วงเวลาที่ตัวอ่อนในครรภ์มีการแบ่งตัวเพื่อเติบโตมากที่สุด ฟอสเฟตเป็นส่วนประกอบหลักของการแบ่งเซลล์ โดยเฉพาะในสารพันธุกรรม ซึ่งทั้งดินและสบู่ก็เป็นสิ่งที่มีฟอสเฟตสูง หากใครที่เคยได้ชิมรสของมันมาก่อน ร่างกายคงจะจำได้ว่ารสชาติแบบนี้คือแหล่งที่มาของฟอสเฟต จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกเลยหากแม่ท้องจะรู้สึกอยากกินดินหรือสบู่ หรือแม้กระทั่งเกลือเพียว ดั้งนั้นคนรอบข้างควรใช้ความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น

และไม่ควรให้ใครนำความเชื่อที่ว่าแม่ท้องอยากกินอาหารประเภทไหนแสดงว่าเด็กที่มาเกิดจะมาจากแหล่งใด บางทีบอกว่าเด็กจะเป็นเดรัจฉานอย่างนั้นอย่างนี้ คำพูดเหล่านี้ไม่ส่งผลดีให้กับคนท้องเลย ต้องระวังให้มาก ไม่ให้แม่ท้องต้องกังวล

อาการอยากกินอาหารแปลกๆระหว่างแพ้ท้องจะมีมากในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่ว่าคุณแม่จะอยากกินอาหารประเภทไหนควรเลือกที่มีประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เพื่อเป็นการเสริมสร้างร่างกายและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัย

บางคนชอบกินน้ำแข็งที่อยู่ในช่องฟรีซตู้เย็น

หากอยากกินของที่ไม่ควรกิน จะแก้ยังไง?

ไม่ว่าคุณแม่จะอยากรับประทานของแปลกแค่ไหน ขอให้คุณพ่อและคนใกล้ชิดช่วยดูในเรื่องคุณค่าทางอาหารเป็นหลัก เรื่องการทานอาหารครบ 5 หมู่ เป็นสิ่งที่ต้องเน้น แม้จะมีเมนูแปลกๆแทรกเข้ามาบ้าง ก็ต้องคอยคุมให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อความแข็งแรงของสุขภาพคุณแม่และเพื่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์

หากอาหารนั้นไม่เหมาะสม ไม่ใช่ของที่กินได้ ก็ต้องพยายามหาอย่างอื่นที่มีรสชาติใกล้เคียงมาทดแทนให้ และต้องพยายามค่อยๆ พูดให้คุณแม่เข้าใจว่าการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นไปเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและความสมบูรณ์แข็งแรงให้ลูกน้อยเป็นหลัก

และอาหารที่เลือกรับประทานนั้นต้องสะอาด ปลอดภัย จะได้ห่างไกลจากการติดเชื้อ เพราะหากมีอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษขณะตั้งครรภ์จะส่งผลเสียต่อร่างกายคุณแม่ ส่วนพวกของดิบก็ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน เพราะอาจส่งผลให้เกิดลำไส้ติดเชื้อ ร้ายแรงสุดก็คือติดเชื้อในกระแสเลือด

แม่ท้องคนนี้มีพฤติกรรมชอบกินสบู่เหลว

15 วิธีรับมือกับอาการแพ้ท้อง

  1. ดื่มนมหรือเครื่องดื่มร้อนๆ หลังจากตื่นนอนตอนเช้า
  2. เมื่อรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนให้จิบน้ำอุ่นหรือดื่มน้ำขิงอุ่นๆ เพราะขิงสามารถช่วยบรรเทาอากาอาการคลื่นไส้ได้
  3. หลังอาเจียน ควรดื่มน้ำอุ่นๆ และกลั้วคอล้างกลิ่นที่อาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้หรือพะอืดพะอม
  4. ควรกินอาหารอ่อนๆที่ย่อยได้ง่าย เลือกกินอาหารที่ยังอุ่นๆ และแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยประมาณวันละ 5-6 มื้อ
  5. กินผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง คือ สับปะรด (ช่วยรักษาอาการคลื่นไส้) และกล้วย (ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง)
  6. อาการแพ้ท้องอาจทุเลาลงได้ หากคุณแม่รับประทานขนมปังจืดๆ หรือขนมปังกรอบสัก 1-2 ชิ้นก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้ท้องว่างนานเกินไป
  7. คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องควรเตรียมเครื่องดื่มหรือขนมปังแครกเกอร์แบบเค็มๆ ไว้ใกล้ตัวเสมอ หลังจากตื่นนอนตอนเช้าให้รับประทานแครกเกอร์ทันทีแล้วนอนต่อสัก 15 นาทีก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง เพราะอาการแพ้ท้องส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในตอนเช้าและตอนท้องว่าง
  8. เมื่อลืมตาตื่นนอนแล้วให้นอนพักร่างกายสักครู่ อย่าเพิ่งรีบลุกออกจากเตียงทันที
  9. กลิ่นหอมจากธรรมชาติบางกลิ่นสามารถช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ เช่น กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์
  10. ถ้ามีอาการแพ้ท้องมาก กินอะไรก็อาเจียนออกหมด แนะนำให้อมลูกอมบ่อยๆ จิบน้ำหวานหรือน้ำผลไม้เพื่อให้พลังงานและป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วรีบไปพบแพทย์
  11. ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังอาหาร ให้รอสักพักแล้วจึงค่อยแปรง เพราะการแปรงฟันอาจทำให้คุณแม่อยากอาเจียนหรือทนรสชาติยาสีฟันไม่ไหว
  12. ไม่ควรนอนทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ
  13. คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่ร้อนอบอ้าว อากาศไม่ถ่ายเท สถานที่คนแออัด เพราะจะทำให้คุณแม่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย
  14. การสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ง่ายขึ้น
  15. หากเป็นไปได้คุณแม่ควรจดบันทึกประจำวัน ว่าเวลาใดบ้างที่มักมีอาการแพ้ท้อง เมื่อรู้ว่าอาการแพ้ท้องมักเกิดขึ้นเวลาใด คุณแม่จะได้ระวังตัวหรือวางแผนทำกิจกรรมต่างๆอย่างเหมาะสมในแต่ละวัน

อาการอยากกินของแปลกระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีจริงค่ะ แต่ต้องคอยระวังว่าอย่ากินสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และคอยดูแลไม่ให้แพ้ท้องมากจนไม่สามารถกินอะไรได้ ระหว่างนี้ขอให้เลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ และอดทนต่อไปไม่เกิน 4 เดือน อาการแพ้ท้องก็จะทุเลาลงไปเอง

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th