พ่อแม่รู้ไหม “ขี้มูก” ของลูกนั้นบอกโรคได้นะ
บ่อยครั้งที่ลูกน้อยมีอาการป่วย คุณพ่อคุณแม่มักจะใช้ที่ดูดน้ำมูกหรือให้ลูกล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำมูกให้หมดไป แต่รู้ไหมว่าสี “ขี้มูก” ของลูกนั้นสามารถบ่งบอกได้นะว่าลูกเราเป็นโรคอะไร หรือติดเชื้อตัวไหนมาบ้าง ถ้าอยากรู้ให้มากขึ้น ติดตามอ่านบทความกันได้เลยค่ะ
สีของขี้มูกบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพลูกบ้าง
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าขี้มูกนั้นสามารถบอกโรคที่เด็ก ๆ มีได้ สีของขี้มูกออกมาเป็นสีไหนถึงจะบ่งบอกว่าเป็นภูมิแพ้ สีแบบไหนแสดงว่ามีการรับเชื้อหวัด หรือแบบไหนถึงจะแสดงว่ามีสุขภาพดี พ่อแม่ควรต้องรู้ไว้ เพื่อที่จะได้พาเจ้าตัวน้อยไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที
ขี้มูกสีขาว
สีขาวที่มีอาจเป็นเพราะเด็กกินอาหารประเภทนมและโยเกิร์ตในปริมาณมาก ไขมันที่มีในผลิตภัณฑ์จากนมสามารถเปลี่ยนลักษณะของน้ำมูกทั่วไปให้มีลักษณะข้นและเหนียวขึ้น ควรให้ลูกหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทนี้ในช่วงที่กำลังเป็นหวัดหรือไซนัส เพื่อช่วยให้หายใจได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าลูกสบายดี ไม่ป่วยไข้อะไร ถึงจะพบว่ามีน้ำมูกสีขาวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล
ขี้มูกสีเหลือง
นี่อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่ามีการติดเชื้อไซนัส และตอนนี้ร่างกายของลูกกำลังต่อสู้กับเชื้อโรคในช่วงที่เป็นหวัด ในช่วงแรกที่เริ่มมีอาการ ขี้มูกจะมีสีเหลืองอ่อน หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน สีก็จะค่อย ๆ เข้มขึ้น หากพบว่ามีเสมหะสีเหลืองเข้มร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดลมอักเสบหรือติดเชื้อในอก การกินยาฆ่าเชื้อจะช่วยลดการติดเชื้อของแบคทีเรียได้
ควรดูแลสุขภาพของลูกให้ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มน้ำเย็น ให้เขารับประทานอาหารอุ่น ๆ เพื่อเสริมร่างกายให้แข็งแรง แต่ถ้าหากมีอาการเป็นหวัดน้ำมูกเหลืองมาเกิน 1 อาทิตย์แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แถมยังมีอาการหนักกว่าเดิม หากมีอาการไข้ ปวดหัว และไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ก็ควรรีบไปพบแพทย์
ขี้มูกสีเขียว
เป็นสัญญาณที่บอกว่าร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา สีเขียวที่เห็นเกิดจากปฏิกิริยาของเม็ดเลือดขาวต่อต้านการติดเชื้อในร่างกาย เมื่อเม็ดเลือดขาวตาย มันจะปล่อยสารสีเขียวออกมา เมื่อสารสีเขียวปนกับเสมหะก็จะทำให้เสมหะมีสีเขียวไปด้วย ในช่วงแรกจะเริ่มจากสีเขียวอ่อนและค่อย ๆ เข้มขึ้นภายใน 2-3 วัน หากพบว่ามีลักษณะแบบนี้เรื้อรังเกิน 1 อาทิตย์และยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น พร้อมทั้งมีไข้ ปวดหัว ไอแบบมีเสมหะ และปวดบริเวณจมูก ควรไปพบแพทย์ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าน้ำมูกสีเขียวที่มีนั้นเกี่ยวเนื่องกับอาการไซนัสอักเสบ ซึ่งเมื่อมีอาการไซนัสอักเสบจะส่งผลให้โพรงจมูกบวม น้ำมูกที่ติดอยู่ภายในจมูกจึงเกิดการสะสมทั้งของแบคทีเรียและเชื้อราในน้ำมูก
นอกจากอาการหวัดที่ลูกสามารถเป็นได้แล้ว ก็ยังเป็นไปได้ว่าน้ำมูกสีเขียวเกิดจากสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในจมูกของลูก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งต่าง ๆ ยัดเข้าไปในจมูก ยิ่งทิ้งไว้นานก็เกิดปฏิกิริยาในรูจมูก จนอาจทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ สีจึงออกมาอมเขียวอมเหลืองแบบสีน้ำหนอง หรืออาจเปลี่ยนเป็นสีแดงในที่สุดเพราะมีเลือดปนด้วย
ขี้มูกสีส้ม สีแดงส้ม หรือสีออกสนิม
หากพบว่ามีสีแดงหรือแดงน้ำตาลปน แสดงว่ามีเลือดปนออกมานั่นเอง หากลูกมีเลือดเพียงเล็กน้อยปนกับน้ำมูกออกมาอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะอาจเกิดจากการเจ็บจมูก เส้นเลือดฝอยในจมูกก็ขาดง่ายเลยทำให้เลือดปะปนไปกับน้ำมูกได้ อาหารเช่นนี้มีสาเหตุมาจากอากาศที่แห้งเกินไป ซึ่งสามารถใช้น้ำเกลือหยอดจมูกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นภายในจมูกเอาไว้ และควรสั่งน้ำมูกเบา ๆ หากลูกเป็นโรคภูมิแพ้
ถ้าลูกมีน้ำมูกหรือเสมหะออกมาเป็นสีนี้ อาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าเป็นหลอดลมอักเสบ และถ้ามีเลือดออกเป็นจำนวนมากและออกติดต่อกันหลายวัน คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป
ขี้มูกสีเทาหรือสีดำ
หากพบว่ามีสีดำ เทา หรือสีเข้มปนมา แสดงว่ามีสาเหตุมาจากการที่ลูกหายใจเอามลภาวะทางอากาศเข้าไป เป็นสีขี้มูกปกติที่พบได้ในคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ อย่างกรุงเทพมหานคร ด่านแรกคือการกรองมลภาวะเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายก็คือจมูก น้ำมูกจึงทำหน้าที่ดักจับฝุ่นควันและสิ่งสกปรกทั้งหลายในอากาศเอาไว้
วิธีบรรเทาอาการเมื่อลูกมีน้ำมูก
- ใช้เสปรย์พ่นจมูกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นภายในโพรงจมูก
- ให้ลูกดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดความข้นเหนียวของขี้มูก และช่วยทำให้โพรงจมูกมีความชุ่มชื้น
- ดูแลให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ แม้จะไม่สบายก็ต้องฝืนกิน เพราะว่าร่างกายต้องการพลังงานเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคในร่างกาย
- รับประทานยาแก้ปวดลดไข้ตามที่แพทย์สั่งเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
- เมื่อมีเสมหะควรบ้วนทิ้ง ไม่ควรกลืนลงคอ
- หากลูกยังเล็กเกินกว่าที่จะขับเสมหะได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องใช้ที่ดูดน้ำมูกดูดเอาน้ำมูกออกจากจมูกของเขา
- หากลูกโตพอ ให้ใช้ยาอมเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในคอ หรือป้อนน้ำผึ้งสัก 1 ช้อนชา ก็ช่วยบรรเทาเสมหะและอาการไอลงได้
- หากลูกเป็นภูมิแพ้ ก็สามารถทานยาแก้แพ้ตามที่แพทย์สั่งเพื่อช่วยบรรเทาอาการถ
- ถ้าพบว่าลูกมีขี้มูกสีเหลืองหรือสีเขียวติดต่อกันหลายวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องการใช้ยาแก้อักเสบ
- ควรให้เด็กหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับควันบุหรี่มือสอง
คุณพ่อคุณแม่พึงทราบไว้ว่าสีของขี้มูกที่ลูกมี ไม่ได้บ่งบอกว่าลูกมีอาการไข้ที่หนักหรือเบาอย่างไร แต่มันเป็นการบ่งบอกว่าลูกมีปัญหาสุขภาพในเรื่องไหนอยู่ หรือมีสาเหตุมาจากการติดเชื้ออะไร อาการไข้ของลูกอาจจะลุกลามเป็นอาการอื่นที่หนักกว่า เช่น โรคปอด หรือติดเชื้อในหู ถ้าลูกมีอาการดังนี้
- มีไข้สูงเกิน 38 องศา ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน
- มีไข้ 38.3 องศาขึ้นไป ในเด็กที่อายุ 3-6 เดือน
- มีไข้สูงเกิน 39.4 องศา ในเด็กที่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
- หายใจลำบาก หายใจติดขัด
- มีอาการไข้นานกว่า 1 สัปดาห์
- พบผื่นตามผิวหนัง
- มีอาการเซื่องซึมหรืองอแงมากกว่าปกติ
- มีเมือกสะสมในดวงตามากกว่าปกติ
อีกสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระมัดระวังคือ การให้ลูกกินยาลดน้ำมูกจากร้านขายยาโดยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของแพทย์ เพราะยาเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น หรือเป็นอันตรายกับเด็กเล็กได้ รวมถึงสามารถทำให้เด็กมีอาการกระสับกระส่าย และทำให้เกิดอาการคลื่น ไส้อาเจียน เห็นภาพหลอน และยังทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ดังนั้น จึงควรให้ลูกกินยาตามที่แพทย์สั่งให้เท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาให้ลูกกินเองหากไม่ได้พาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
เรื่องสุขภาพของลูกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่มีสิ่งใดที่ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ควรรีบปรึกษากุมารแพทย์ให้เร็วที่สุด จะได้ไม่สายเกินไป รวมทั้งต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วยค่ะ เพื่อให้ลูกรักของเราแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี น่ารักสดใสอย่างสมวัย
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th