Site icon Motherhood.co.th Blog

ตั้งครรภ์นอกมดลูก จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นหรือไม่

ภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก

รู้ก่อนป้องกันได้ ตั้งครรภ์นอกมดลูกมีอาการอย่างไร

ตั้งครรภ์นอกมดลูก จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นหรือไม่

อีกหนึ่งความกังวลของคุณแม่ท้องอ่อนย่อมหนีไม่พ้นการ “ตั้งครรภ์นอกมดลูก” ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถึงกระนั้นคุณแม่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีความเสี่ยงหรือไม่ และมีวิธีทางที่จะป้องกันได้บ้าง มาติดตามกันในบทความนี้เลยค่ะ

ตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) เป็นภาวะที่ไข่ได้รับการผสมกับสเปิร์มแล้วกลายเป็นตัวอ่อนแต่ไปฝังตัวอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ผนังมดลูก มักเกิดขึ้นบริเวณท่อนำไข่หรือปีกมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารกได้ หากไม่ได้รับการรักษาจะเกิดเนื้อเยื่อเจริญเติบโตและสร้างความเสียหายแก่ท่อนำไข่ และทำให้มารดาเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แม่ท้องควรสังเกตสัญญาณสำคัญของการท้องนอกมดลูก เพื่อไปพบแพทย์ให้ทันเวลา

ตัวอ่อนที่ผสมแล้วไปฝังตัวในบริเวณที่ไม่ใช่มดลูก

อาการของท้องนอกมดลูก

ในช่วงแรกของการท้องนอกมดลูกจะยังไม่มีอาการสำคัญที่ปรากฏ หรืออาจมีอาการที่คล้ายสัญญาณการตั้งครรภ์ทั่วไป ได้แก่

ส่วนอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญของการท้องนอกมดลูกที่จัดเป็นความป่วยที่รุนแรงขึ้น และผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันที ได้แก่

เมื่ออาการเริ่มหนักขึ้น ก็จะรู้สึกปวดท้องแรงขึ้นด้วย

สาเหตุของการท้องนอกมดลูก

การท้องนอกมดลูกจะเกิดขึ้นภายในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังจากที่ไข่ผสมกับสเปิร์ม ตามปกติไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะอยู่ในท่อนำไข่ 3-4 วัน ก่อนที่จะเคลื่อนตัวเข้าไปฝังตัวในผนังมดลูกแล้วพัฒนาเป็นตัวอ่อนเจริญเติบโตในมดลูกต่อไป แต่การท้องนอกมดลูกเกิดจากไข่ที่ผสมแล้วแต่ไม่เคลื่อนตัวไปยังมดลูก กลับฝังตัวอยู่ในบริเวณท่อนำไข่หรือในอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปากมดลูก รังไข่ พื้นที่ว่างในช่องท้อง หรือแม้แต่บริเวณรอยแผลเป็นจากการผ่าคลอดที่หน้าท้อง

ปัจจัยที่ทำให้ไข่ที่ผสมแล้วไม่เคลื่อนไปฝังตัวในมดลูกตามปกติ ได้แก่

การวินิจฉัยการท้องนอกมดลูก

ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติอาการและการมีประจำเดือน ร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อประกอบการวินิฉัย โดยมีรายละเอียดการตรวจดังนี้

ในบางกรณีที่ไม่สามารถตรวจพบตัวอ่อนได้ด้วยอัลตราซาวด์ อาจเพราะเป็นการตั้งครรภ์ในระยะแรกเริ่ม ตัวอ่อนจึงมีขนาดเล็กมาก หรือผู้ป่วยอาจเกิดการแท้งลูก ดังนั้น หากตรวจไม่พบตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกหรือบริเวณปีกมดลูก แพทย์อาจสังเกตอาการของท่อนำไข่ว่ามีการบวม มีเนื้อเยื่อหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน เพราะตัวอ่อนไปฝังตัวแล้วสร้างความเสียหายแก่เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นหรือไม่

หากตรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วยังไม่ปรากฏผลแน่ชัดว่าผู้ป่วยท้องนอกมดลูกหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีอาการที่เข้าข่ายภาวะท้องนอกมดลูกที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างฉุกเฉินเร่งด่วน แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพื่อตรวจดูบริเวณท่อนำไข่และอวัยวะที่ใกล้เคียง และทำการรักษาเนื้อเยื่อที่เกิดความเสียหายในบริเวณดังกล่าวด้วย

ตรวจอัลตราซาวด์เพื่อค้นหาจุดที่ตัวอ่อนไปฝังอยู่

การรักษาอาหารท้องนอกมดลูก

การรักษาการท้องนอกมดลูกขึ้นอยู่กับพัฒนาการของตัวอ่อนที่ฝังตัวไปแล้วและบริเวณที่ตัวอ่อนฝังตัว โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษาผู้ป่วยท้องนอกมดลูก ดังนี้

หลังรับการรักษา ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวภายใต้การดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว และจากนั้นผู้ป่วยควรฟื้นฟูสภาพจิตใจด้วยเช่นกัน

เมื่อผู้ป่วยพร้อมจะมีบุตรอีกครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการมีบุตร เนื่องจากผู้ที่เคยท้องนอกมดลูกมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกไป

ภาวะแทรกซ้อนของการท้องนอกมดลูก

ภาวะท้องนอกมดลูกที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีจะไม่พัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ผู้ป่วยท้องนอกมดลูกหรืออาจได้รับการตรวจวินิจฉัยช้าเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เนื่องจากท่อนำไข่และอวัยวะในบริเวณที่ไข่ฝังตัวอาจเกิดความเสียหาย ฉีกขาด หรือเกิดการติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยเกิดการตกเลือด ภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (Disseminated Intravascular Coagulopathy: DIC) ภาวะช็อค และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้

การป้องกันท้องนอกมดลูก

การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อความเสียหายต่ออวัยวะในช่องท้องและระบบสืบพันธุ์ที่นำไปสู่การท้องนอกมดลูกในที่สุดได้ เช่น

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th