ทอนซิลอักเสบ เด็ก ๆ ก็เป็นได้เหมือนกันนะ
เพราะเด็ก ๆ เป็นวัยที่ตอบสนองต่อเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ไว อาการ “ทอนซิลอักเสบ” จึงเกิดขึ้นมาหลังจากที่ต่อมทอนซิลต้องรับบทหนักเพื่อต่อต้านเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายของเจ้าตัวน้อย แต่กลับเป็นอาการที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ อาจจะมองข้ามไปว่าเด็กน้อยก็มีอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน วันนี้ Motherhood จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักกับอาการทอนซิลอักเสบในเด็กให้ดีขึ้นค่ะ
ต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร?
ต่อมทอนซิลคือต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง มีอยู่ 2 ข้างในลำคอ คอยทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางลำคอหรือทางการหายใจ การที่มันอักเสบขึ้นมาเป็นเพราะเกิดการอักเสบและติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลเสียเอง
อาการในเด็กเกิดจากอะไร?
เกิดจากการติดเชื้อบริเวณต่อมทอนซิล เช่น Adenovirus, Influenza virus, Parainfluenza virus, Epstein-Barr virus นอกจากนี้สามารถเกิดจากการคิดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Group A beta hemolytic streptococcus, Mycoplasma pneumoniae และ Chlamydia pneumoniae ส่วนในเด็กภูมิคุ้มกันต่ำอยู่แล้ว อาจจะเกิดจากเชื้อรา
ต่อมทอนซิลมีหน้าที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกายด้วยการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาต่อสู้กับเชื้อโรค และเนื่องจากเป็นภูมิคุ้มกันด่านแรก ต่อมทอนซิลจึงเป็นอวัยวะที่เสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้เช่นกัน
สาเหตุส่วนใหญ่ของทอนซิลอักเสที่พบในเด็กสุขภาพดีตามปกติ มากกว่า 50% มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยไวรัสทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมทอนซิลยังอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคอื่นด้วย รวมไปถึงการได้รับเชื้อจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสต่อไปนี้ อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลได้เช่นกัน
- ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดทั่วไป
- ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) ไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่
- ไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) ทำให้เกิดโรคกล่องเสียงอักเสบและกลุ่มอาการครู้ป
- ไวรัสเอนเทอร์โร (Enteroviruses) ต้นเหตุของโรคมือเท้าปาก
- ไวรัสรูบิโอลา (Rubeola) ทำให้เกิดโรคหัด
- ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ไวรัสที่มักเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
- ไวรัสเอ็บสไตน์บาร์ (Epstein-Barr) ที่สามารถก่อให้เกิดโรคโมโนนิวคลีโอซิส แต่ทอนซิลอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดนี้จะพบได้ไม่บ่อย
ส่วนทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยที่สุดเกิดจากเชื้อสเต็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ (Group A Streptococcus) ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคคออักเสบ นอกจากนี้แบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ก็พบว่าเป็นสาเหตุได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า
โรคต่อมทอนซิลมักพบได้บ่อยในช่วงเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 2 ปีขึ้นไปจนถึงช่วงวัยรุ่นตอนกลาง โดยทอนซิลอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียพบได้บ่อยในช่วงอายุ 5-15 ปี ขณะที่ทอนซิลอักเสบที่เกิดจากไวรัสจะพบในเด็กเล็กมากกว่า ส่วนวัยผู้ใหญ่มีโอกาสเกิดได้น้อย เพราะเด็กวัยเรียนมักมีการสัมผัสและอยู่ใกล้ชิดกับเพื่อน จึงทำให้ต้องเผชิญกับเชื้อโรคมากมายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่า
เด็กจะมีอาการอย่างไร?
เด็กที่มีอาการจะเริ่มจากการเจ็บคอ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และอาจมีอาการปวดหูเพราะหูอักเสบตามมาได้ หากไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย จะเห็นว่าต่อมทอนซิลมีลักษณะแดงและบวมโต โดยมักโตทั้งสองข้าง เด็กบางรายอาจมีจุดสีขาวอมเหลืองคล้ายเป็นหนองกระจายอยู่ทั่วไป หากแพทย์ตรวจคอเพิ่มเติมก็อาจพบอาการต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย
พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกมีอาการ?
หากอาการเกิดในเด็กเล็ก เขาอาจไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีอาการอย่างไร ผู้ปกครองอาจสังเกตจากสัญญาณบ่งบอกต่อไปนี้
- มีอาการไข้และเจ็บคอมาก
- น้ำลายไหล ที่มีสาเหตุมาจากการกลืนได้ลำบากหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บ
- ไม่ยอมรับประทานอาหาร เพราะกลืนแล้วรู้สึกเจ็บมากนั่นเอง
- งอแงมากกว่าปกติ
มีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่?
สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ตั้งแต่ภาวะที่ไม่รุนแรงมาก เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ไปจนถึงภาวะที่รุนแรงมากขึ้น เช่น ฝีรอบต่อมทอนซิล ฝีด้านหลังผนังคอ ซึ่งอาจมีอาการมากจนต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัด นอกเหนือจากการใช้ยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ หากเกิดอาการเพราะติดเชื้อแบคทีเรียสเต็ปโตคอคคัส (Streptococcus) แต่ไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้วได้รับยาไม่ครบกำหนด อาจะทำให้เกิดโรคไตอักเสบเฉียบพลัน หรือโรคไข้รูมาติคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจได้
ทำการรักษาอย่างไร?
หากเกิดจากไวรัส มักจะรักษาให้หายได้ภายใน 7-10 วันโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่อาการจะดีขึ้นได้ด้วยการดูแลรักษาตัวเอง รับประทานยาแก้ปวดลดไข้ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้คอชุ่มชื้น โดยเลือกเครื่องดื่มที่ช่วยให้สบายคอ สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 4 ปีขึ้นไปอาจอมยาอมเพื่อบรรเทาอาการระคายคอ และควรให้เด็กหลีกเลี่ยงสารที่ก่อความระคายเคืองที่คอ เช่น ควันบุหรี่ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดกลิ่นฉุนต่าง ๆ
ส่วนการรักษาการที่เกิดจากแบคทีเรียนั้นใช้เวลานานกว่า และอาจต้องใช้วิธีการรักษาทางแพทย์ ได้แก่ การรับประทานยาปฏิชีวนะ โดยมากมักให้ยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือยาอิริโธรมัยซิน (Erythromycin) รับประทานเป็นเวลา 7-10 วัน ซึ่งการรับประทานยาปฏิชีวนะควรต้องรับประทานให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าแบคทีเรียถูกกำจัดจนหมด
อาการแบบไหนที่ต้องผ่าตัด?
การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกเป็นวิธีรักษาทอนซิลอักเสบที่เป็นซ้ำหลายครั้ง อักเสบเรื้อรัง หรืออักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเท่านั้น โดยสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้
- มีอาการอักเสบมากกว่า 7 ครั้งในรอบหนึ่งปี
- พบการอักเสบมากกว่า 4-5 ครั้งในรอบหนึ่งปีเป็นระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
- เกิดการอักเสบมากกว่า 3 ครั้งในรอบหนึ่งปีเป็นระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจใช้การผ่าตัดทอนซิลในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากจะรักษาตามมา เช่น
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หายใจลำบาก
- กลืนลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลืนเนื้อหรืออาหารชิ้นหนา ๆ
- เป็นฝีที่ใช้ยาปฏิชีวนะแล้วยังไม่ดีขึ้น
สามารถป้องกันโรคให้ลูกได้อย่างไร?
หลักการป้องกันสำหรับเด็กก็จะเหมือนกับการป้องกันโรคจากการติดเชื้อในทางเดือนหายใจทั่วไป เพราะเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของทอนซิลอักเสบนั้นสามารถแพร่กระจายได้ง่าย การป้องกันการติดเชื้อและอักเสบที่ดีที่สุดจึงทำได้ด้วยการรักษาสุขอนามัย และเนื่องจากโรคนี้มักพบได้ในเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้ป้องกันจากการติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมจานหรือดื่มน้ำร่วมแก้วกับผู้อื่นเพราะอาจมีการสัมผัสน้ำลายของอีกฝ่าย
- หมั่นล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
- เปลี่ยนแปรงสีฟันที่ใช้หลังจากป่วยเป็นทอนซิลอักเสบ
- สอบถามแพทย์ถึงเวลาที่ลูกจะสามารถกลับไปเรียนตามปกติได้
- สอนให้ลูกไอหรือจามโดยใช้กระดาษทิชชู่ปิดปาก รวมทั้งล้างมือให้สะอาดหลังไอหรือจาม
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th