Site icon Motherhood.co.th Blog

น้ำมันตับปลา จำเป็นต้องหามาให้ลูกกินไหม?

น้ำมันตับปลาดีอย่างไร

พ่อแม่หลายคนนิยมให้ลูกกินน้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลา จำเป็นต้องหามาให้ลูกกินไหม?

คนเป็นพ่อเป็นแม่ อาหารเสริมใดๆที่ใครเขาว่าดี เราก็มักจะสรรหามาให้ลูกได้กินเพื่อเสริมโภชนาการกัน “น้ำมันตับปลา” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนนิยมซื้อหามาป้อนลูกรัก อย่างตัวผู้เขียนเองก็เคยกินมาตั้งแต่เด็ก แต่เชื่อว่ายังคงมีหลายๆคนที่สับสนอยู่ว่ามันคือน้ำมันปลาหรือเปล่า เป็นของชนิดเดียวกันหรือเปล่า และบางบ้านก็มีปัญหาว่าป้อนแล้วลูกไม่ยอมกินเลย เพราะน้ำมันปลาตามท้องตลาดส่วนมากก็แต่งมาแค่กลิ่น ส่วนรสชาตินั้นยังเป็นที่หลอนลิ้นของเด็กๆอยู่เหมือนเดิม จะทำยังไงนะลูกถึงจะยอมกินอาหารเสริมที่เราคิดว่าดี ซื้อมาแล้วไม่เสียสตางค์เปล่า หรือว่าจริงๆแล้วอาจจะไม่ต้องลำบากหาซื้อมา แต่เราสามารถหาสารอาหารชนิดเดียวกันนี้ได้จากของกินอย่างอื่น หากคุณพ่อคุณแม่อยากทราบ ต้องติดตามอ่านต่อค่ะ

รู้จักน้ำมันตับปลาให้มากขึ้น

น้ำมันตับปลา คือ น้ำมันที่สกัดจากตับของปลาซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาทะเล เช่น ปลาค็อด ปลาซาร์ดีน ใช้รับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ วิตามินดี และกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ กรดโดโคซาเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid – DHA) และกรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid – EPA) มีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างกระดูก ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ป้องกันผิวหนังและดวงตาจากการถูกทำลาย เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม วิตามินเอและวิตามินดีเป็นวิตามินละลายในไขมัน หากได้รับมากเกินความเหมาะสมอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ตับและระบบประสาททำงานผิดปกติ หิวน้ำ ปัสสาวะบ่อย และอาจทำให้ผมร่วง ผิวแห้งได้อีกด้วย หากเด็กรับประทานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ส่วนหญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

น้ำมันตับปลานิยมแต่งรสและกลิ่นให้กินง่าย

น้ำมันตับปลายังมีสารบางอย่างที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเหมือนกับยาแก้ปวดอย่างแอสไพริน ถ้าหากให้ลูกรับประเป็นเป็นประจำและจะต้องเข้ารับการผ่าตัด คุณพ่อคุณแม่ควรบอกแพทย์ให้ละเอียดถึงการรับประทาน และจะต้องหยุดรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่สมบูรณ์ เพื่อป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุดหรือออกมามากกว่าปกติ

นอกจากนั้น มีงานวิจัยบางชิ้นอ้างว่าน้ำมันตับปลาอาจมีสรรพคุณช่วยลดปริมาณไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน ลดอาการอักเสบจากโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือข้อเสื่อม ลดความดันโลหิต และป้องกันโรคหัวใจ แต่สรรพคุณเหล่านี้ยังต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย

น้ำมันตับปลา vs น้ำมันปลา

เรามักได้ยินคนพูดถึงชื่อของน้ำมันสองชนิดนี้สลับกันอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ชื่อคล้ายกัน และรูปร่างลักษณะของน้ำมันทั้งคู่ก็ไม่ต่างกันมากนัก คนจึงมักคิดว่าน้ำมันสองชนิดนี้คือน้ำมันชนิดเดียวกัน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) และ น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นน้ำมันคนละชนิดกัน และมีคุณสมบัติต่างกันอย่างมากด้วย

น้ำมันตับปลาก็มีคุณสมบัติตามที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น ส่วนน้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นไขมันปลาที่ได้มาจากการสกัดจากเนื้อ หัว หาง และหนังของปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาแอนโชวี่ และปลาทูน่า สารอาหารที่ได้ คือ กรดไขมันโอเมก้า-3 EPA และ DHA มีความสำคัญในการทำงานของระบบสมอง ประสาท การทำงานของหลอดเลือดหัวใจ และสายตา ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันภาวะหัวใจและสมองขาดเลือด ลดอาการข้อเสื่อมและรูมาตอยด์

บางคนยังสับสนระหว่างน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา

น้ำมันปลามีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เนื่องจากไม่มีวิตามิน จึงมีโอกาสของการเจอสารปนเปื้อนน้อยกว่าน้ำมันตับปลา เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงให้นมบุตร

การใช้น้ำมันตับปลา

จะป้อนลูกอย่างไร?

เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำมันตับปลาไม่ได้มีรสชาติที่น่าพิศมัยสำหรับเด็กๆสักเท่าไหร่ การที่คุณพ่อคุณแม่จะป้อนเขาก็อาจจะเป็นเรื่องยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็พอมีวิธีที่จะช่วยได้อยู่บ้าง

  1. นำถ้วยเซรามิคมา จากนั้นเทน้ำส้มลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ข้อสำคัญที่ต้องใส่น้ำส้มลงไปก่อน ก็เพื่อไม่ให้น้ำมันตับปลาลงไปนอนก้นในถ้วยนั่นเอง
  2. เติมน้ำมันตับปลาลงไปเท่าปริมาณที่แนะนำในฉลากผลิตภัณฑ์ หรือที่แพทย์แนะนำ และผสมให้เข้ากัน
  3. ใช้ไซริงก์ดูดส่วนผสมขึ้นมา สามารถให้เด็กๆดูดกินเองได้เลย

เมื่อทำตามขั้นตอนนี้รสชาติจะดีขึ้นมากเมื่อผสมน้ำส้มลงไป แม้ว่าแต่ละแบรนด์จะนิยมแต่งรสหรือกลิ่นมาแล้วก็ตาม แต่จะไม่ดีเท่าการผสมเองสดๆแน่นอน จะทำให้ได้รสชาติของน้ำส้มที่เข้มข้นขึ้น เด็กๆก็จะกินง่าย

เด็กๆหลายคนไม่ชอบรสชาติของน้ำมันตับปลา พ่อแม่จะแก้อย่างไร

คำเตือนของการใช้

ผลข้างเคียงในการใช้

การใช้งานจัดว่าค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกอยากเรอ มีกลิ่นปาก แสบร้อนกลางอก หรือมีเลือดกำเดาไหล นอกจากนี้ น้ำมันตับปลายังประกอบด้วยวิตามินเอและวิตามินดีในปริมาณสูง หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจมีอาการคลื่นไส้หรือถ่ายเหลว และอาจสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย ส่วนหญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอในปริมาณมากอาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือทารกพิการแต่กำเนิดได้

อาหารเสริมหลายๆอย่างมีคุณประโยชน์มากมาย ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรบริโภคมากจนเกินไป เพราะอาจจะส่งผลเสียได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องจัดสรรดีๆนะคะ บริโภคเพื่อบำรุงเท่าที่จำเป็นก็พอค่ะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th