น้ำมันตับปลา จำเป็นต้องหามาให้ลูกกินไหม?
คนเป็นพ่อเป็นแม่ อาหารเสริมใดๆที่ใครเขาว่าดี เราก็มักจะสรรหามาให้ลูกได้กินเพื่อเสริมโภชนาการกัน “น้ำมันตับปลา” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนนิยมซื้อหามาป้อนลูกรัก อย่างตัวผู้เขียนเองก็เคยกินมาตั้งแต่เด็ก แต่เชื่อว่ายังคงมีหลายๆคนที่สับสนอยู่ว่ามันคือน้ำมันปลาหรือเปล่า เป็นของชนิดเดียวกันหรือเปล่า และบางบ้านก็มีปัญหาว่าป้อนแล้วลูกไม่ยอมกินเลย เพราะน้ำมันปลาตามท้องตลาดส่วนมากก็แต่งมาแค่กลิ่น ส่วนรสชาตินั้นยังเป็นที่หลอนลิ้นของเด็กๆอยู่เหมือนเดิม จะทำยังไงนะลูกถึงจะยอมกินอาหารเสริมที่เราคิดว่าดี ซื้อมาแล้วไม่เสียสตางค์เปล่า หรือว่าจริงๆแล้วอาจจะไม่ต้องลำบากหาซื้อมา แต่เราสามารถหาสารอาหารชนิดเดียวกันนี้ได้จากของกินอย่างอื่น หากคุณพ่อคุณแม่อยากทราบ ต้องติดตามอ่านต่อค่ะ
รู้จักน้ำมันตับปลาให้มากขึ้น
น้ำมันตับปลา คือ น้ำมันที่สกัดจากตับของปลาซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาทะเล เช่น ปลาค็อด ปลาซาร์ดีน ใช้รับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ วิตามินดี และกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ กรดโดโคซาเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid – DHA) และกรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid – EPA) มีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างกระดูก ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ป้องกันผิวหนังและดวงตาจากการถูกทำลาย เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม วิตามินเอและวิตามินดีเป็นวิตามินละลายในไขมัน หากได้รับมากเกินความเหมาะสมอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ตับและระบบประสาททำงานผิดปกติ หิวน้ำ ปัสสาวะบ่อย และอาจทำให้ผมร่วง ผิวแห้งได้อีกด้วย หากเด็กรับประทานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ส่วนหญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
น้ำมันตับปลายังมีสารบางอย่างที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเหมือนกับยาแก้ปวดอย่างแอสไพริน ถ้าหากให้ลูกรับประเป็นเป็นประจำและจะต้องเข้ารับการผ่าตัด คุณพ่อคุณแม่ควรบอกแพทย์ให้ละเอียดถึงการรับประทาน และจะต้องหยุดรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 10 วัน เพื่อให้เกล็ดเลือดตัวใหม่สมบูรณ์ เพื่อป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุดหรือออกมามากกว่าปกติ
นอกจากนั้น มีงานวิจัยบางชิ้นอ้างว่าน้ำมันตับปลาอาจมีสรรพคุณช่วยลดปริมาณไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน ลดอาการอักเสบจากโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือข้อเสื่อม ลดความดันโลหิต และป้องกันโรคหัวใจ แต่สรรพคุณเหล่านี้ยังต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย
น้ำมันตับปลา vs น้ำมันปลา
เรามักได้ยินคนพูดถึงชื่อของน้ำมันสองชนิดนี้สลับกันอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ชื่อคล้ายกัน และรูปร่างลักษณะของน้ำมันทั้งคู่ก็ไม่ต่างกันมากนัก คนจึงมักคิดว่าน้ำมันสองชนิดนี้คือน้ำมันชนิดเดียวกัน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) และ น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นน้ำมันคนละชนิดกัน และมีคุณสมบัติต่างกันอย่างมากด้วย
น้ำมันตับปลาก็มีคุณสมบัติตามที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น ส่วนน้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นไขมันปลาที่ได้มาจากการสกัดจากเนื้อ หัว หาง และหนังของปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาแอนโชวี่ และปลาทูน่า สารอาหารที่ได้ คือ กรดไขมันโอเมก้า-3 EPA และ DHA มีความสำคัญในการทำงานของระบบสมอง ประสาท การทำงานของหลอดเลือดหัวใจ และสายตา ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันภาวะหัวใจและสมองขาดเลือด ลดอาการข้อเสื่อมและรูมาตอยด์
น้ำมันปลามีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลต่อการทำงานของตับ เนื่องจากไม่มีวิตามิน จึงมีโอกาสของการเจอสารปนเปื้อนน้อยกว่าน้ำมันตับปลา เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงให้นมบุตร
การใช้น้ำมันตับปลา
- จัดให้ลูกรับประทานตามฉลากหรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้มากกว่าปริมาณที่กำหนด หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ยกเว้นแพทย์สั่ง
- ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารเพื่อลดการเกิดผลข้างเคียง
- หากลืมให้ลูกรับประทานตามเวลาที่กำหนด ก็ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้ถึงครั้งต่อไปแล้ว ให้ข้ามไปรับประทานครั้งต่อไป โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า
- ปิดฝาให้สนิทหลังใช้ เก็บในที่แห้งและเย็น และหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดด
จะป้อนลูกอย่างไร?
เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำมันตับปลาไม่ได้มีรสชาติที่น่าพิศมัยสำหรับเด็กๆสักเท่าไหร่ การที่คุณพ่อคุณแม่จะป้อนเขาก็อาจจะเป็นเรื่องยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็พอมีวิธีที่จะช่วยได้อยู่บ้าง
- นำถ้วยเซรามิคมา จากนั้นเทน้ำส้มลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ข้อสำคัญที่ต้องใส่น้ำส้มลงไปก่อน ก็เพื่อไม่ให้น้ำมันตับปลาลงไปนอนก้นในถ้วยนั่นเอง
- เติมน้ำมันตับปลาลงไปเท่าปริมาณที่แนะนำในฉลากผลิตภัณฑ์ หรือที่แพทย์แนะนำ และผสมให้เข้ากัน
- ใช้ไซริงก์ดูดส่วนผสมขึ้นมา สามารถให้เด็กๆดูดกินเองได้เลย
เมื่อทำตามขั้นตอนนี้รสชาติจะดีขึ้นมากเมื่อผสมน้ำส้มลงไป แม้ว่าแต่ละแบรนด์จะนิยมแต่งรสหรือกลิ่นมาแล้วก็ตาม แต่จะไม่ดีเท่าการผสมเองสดๆแน่นอน จะทำให้ได้รสชาติของน้ำส้มที่เข้มข้นขึ้น เด็กๆก็จะกินง่าย
คำเตือนของการใช้
- พ่อแม่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอหากจะให้ลูกรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดก็ตาม
- หากกำลังใช้ยาลดความดันโลหิตควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เนื่องจากการใช้ควบคู่กันอาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำมากกว่าปกติ
- หากลูกมีความเสี่ยงมีภาวะเลือดออกผิดปกติ พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากมันมีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน ซึ่งอาจส่งผลให้เสี่ยงมีเลือดออกง่ายขึ้น
- หากให้ลูกรับประทานเป็นประจำ พ่อแม่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าก่อนวางแผนผ่าตัดหรือเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม
- หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- ในน้ำมันตับปลามีโคลีนอยู่ ซึ่งโคลีนคือวิตามินที่พบในปลา ซึ่งทำให้มันมีกลิ่นคาว และสามารถส่งกลิ่นออกมาทางเหงื่อได้ หากลูกๆกำลังโตเป็นสาว ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานมาก เพราะการมีกลิ่นตัวทำให้เสียบุคลิก
ผลข้างเคียงในการใช้
การใช้งานจัดว่าค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกอยากเรอ มีกลิ่นปาก แสบร้อนกลางอก หรือมีเลือดกำเดาไหล นอกจากนี้ น้ำมันตับปลายังประกอบด้วยวิตามินเอและวิตามินดีในปริมาณสูง หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจมีอาการคลื่นไส้หรือถ่ายเหลว และอาจสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย ส่วนหญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอในปริมาณมากอาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือทารกพิการแต่กำเนิดได้
อาหารเสริมหลายๆอย่างมีคุณประโยชน์มากมาย ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรบริโภคมากจนเกินไป เพราะอาจจะส่งผลเสียได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องจัดสรรดีๆนะคะ บริโภคเพื่อบำรุงเท่าที่จำเป็นก็พอค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th