ปัญหา “พัฒนาการช้า” พ่อแม่จะรับมืออย่างไร
ปัญหา “พัฒนาการช้า” เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับลูกน้อย หลังจากที่เขาลืมตาดูโลก พ่อแม่ทุกคนก็เฝ้าเลี้ยงดูเอาใจใส่ ด้วยหวังว่าเขาจะเติบโตมามีพัฒนาการที่ดีตามวัย หากแต่เด็กบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กก่อนวัยเรียน แต่อะไรละคือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจจะกำลังประสบปัญหานี้อยู่ วันนี้ Motherhood จะชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจกับปัญหาพัฒนการของลูกกันนะคะ
ลูกของเราอาจมีปัญหาพัฒนาการช้าหรือเปล่า?
ในขณะที่คุณเฝ้าดูลูกน้อยเติบโตพร้อมทั้งคาดหวังให้เขามีพัฒนาการที่ดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะสงสัยหรือเป็นกังวลว่าพัฒนาของลูกน้อยจะอยู่ในทางที่ถูกที่ควรแล้วหรือไม่ ซึ่งมันก็มีโอกาสที่เขาจะพัฒนาไปได้ตามจังหวะเวลาอันเหมาะสมของเขาเอง
โดยส่วนมากแล้ว เด็ก ๆ จะมีพัฒนาการที่สำคัญแต่ละครั้ง เช่น การฝึกเข้าห้องน้ำ ขี่รถสามล้อ และพูดอย่างชัดเจน ตามเวลาที่พวกเราคาดหวัง และถ้าไม่ตรงนัก พวกเขาก็สามารถพัฒนาตามมาได้ทันเองในที่สุด
ในทางกลับกัน มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะระบุถึงปัญหาได้แต่เนิ่น ๆ หากลูกน้อยก่อนวัยเรียนของคุณเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างแท้จริง
คำว่า “พัฒนาการล่าช้า” หมายถึงอะไร?
แพทย์จะใช้คำนี้เมื่อเด็กมีพัฒนาการไม่ถึงตามเป้าหมายที่กำหนดในภาพกว้างของสิ่งที่ถือว่าเป็นพัฒนาการปกติ ความล่าช้าอาจจะอยู่ในอย่างน้อยหนึ่งขอบข่าย เช่น ทักษะการเคลื่อนไหวขั้นต้น (การกระโดดและการต่อบล็อค) ทักษะการสื่อสารและภาษา (ทั้งการทำความเข้าใจและการแสดงออก) ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (การเข้าห้องน้ำและการแต่งตัว) และทักษะทางสังคม (การสบตาและการเล่นกับผู้อื่น)
เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ควรทราบไว้ว่าในขณะที่พัฒนาการของลูกกำลังมีขึ้น พัฒนาการในแต่ละด้านของเด็ก ๆ จะเป็นไปในอัตราที่แตกต่างกันและเป็นไปในหลาย ๆ ทิศทาง ยกตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 25 เดือน อาจมีทักษะในการเคลื่อนไหวสูงมาก เพราะเขาชอบที่จะสำรวจและโต้ตอบผ่านการเคลื่อนไหว แต่กลับไม่มีความสนใจในการใช้ดินสอ ในขณะที่เด็กอีกคนที่มีอายุเท่ากันอาจวาดเส้นได้เก่ง แต่มีทักษะการเคลื่อนไหวน้อยกว่า
อะไรคือโอกาสที่จะทำให้ลูกมีพัฒนาการล่าช้า?
จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ มีพัฒนาการล่าช้า เช่น มีอุปสรรคในการเรียนรู้ การสื่อสาร การเล่น หรือการทำกิจกรรมทางร่างกาย
การเข้าจัดการกับปัญหาตั้งแต่ในระยะแรกสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากสำหรับเด็กหลายคนที่มีพัฒนาการล่าช้า แต่มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่ามีเด็กเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับความสนใจอย่างเหมาะสม นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องรีบจัดการหากคุณเริ่มสงสัยว่าลูกมีพัฒนาการล่าช้า
ความบกพร่องบางอย่างหายไปตามเวลาที่เด็กเริ่มไปโรงเรียน ในขณะที่ปัญหาอื่น ๆ จะยังไม่ได้รับการระบุจนกระทั่งในภายหลัง ประมาณร้อยละ 15 ของเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีมีความบกพร่อง เช่น ความบกพร่องด้านการพูดและภาษา ความพิการทางสติปัญญา ความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม
ในบรรดาเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการประมาณร้อยละ 40 มีความบกพร่องทางพัฒนาการมากกว่าหนึ่งอย่าง และน้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์มีถึงสามอย่างหรือมากกว่านั้น
พ่อแม่จะสังเกตเห็นปัญหาใดได้บ้าง?
พ่อแม่ส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนไหวกับอายุที่ลูกของพวกเขามีพัฒนาการขั้นต้นของทักษะการเคลื่อนไหว เช่น การเดินและการปีนบันได และความสำเร็จเหล่านี้ถือว่าเป็น “เร็ว” หรือ “ช้า” แต่คุณอาจเลือกให้ความสนใจในทักษะการเคลื่อนไหวที่ละเอียดขึ้นของลูกของคุณ เช่น ความสามารถของเขา (หรือไม่สามารถ) ในการวาดวงกลมหรือการแปรงฟัน
ในเรื่องของการใช้ภาษา คุณอาจสังเกตเห็นว่าลูกของคุณมีปัญหาในการเข้าใจภาษา (เข้าใจความหมายของคำและประโยค) หรือการแสดงออกด้วยภาษา (แสดงความคิดด้วยคำและประโยค)
เป็นความคิดที่ดีที่จะทำความคุ้นเคยกับไทม์ไลน์ปกติของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และทางกายภาพ เพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นแนวทางได้ ด้วยวิธีดังกล่าวคุณจะรู้ว่าภายใน 30 เดือน เด็กวัยอนุบาลส่วนใหญ่สามารถล้างมือและเช็ดให้แห้ง เด็ก 36 เดือนส่วนใหญ่สามารถใช้คำสามถึงสี่คำในหนึ่งประโยค นอกจากนี้คุณยังจะได้เรียนรู้ว่าเด็กอายุ 24 เดือนส่วนใหญ่สามารถเรียงบล็อคซ้อนกันหกบล็อค และเด็ก 36 เดือนส่วนใหญ่สามารถบอกชื่อสีได้อย่างน้อยหนึ่งสี
โปรดทราบว่าหากลูกของคุณเกิดก่อนกำหนด เขาอาจต้องใช้เวลามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในการพัฒนาระยะต่าง ๆ แพทย์ส่วนใหญ่ประเมินพัฒนาการของเด็กที่คลอดก่อนกำหนดกับเวลาที่เขาควรจะเกิด (วันครบกำหนดของเขามากกว่าวันเกิดที่แท้จริงของเขา) และประเมินทักษะของเขาจนถึงวันเกิดที่สองหรือสามของเขา
หากลูกมีพัฒนาการล่าช้า อะไรเป็นสาเหตุ?
บางครั้งการพัฒนาล่าช้ามีสาเหตุทางการแพทย์ เช่น ภาวะแทรกซ้อนของการคลอดก่อนกำหนด หรือสภาพทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ หรืออาจเป็นผลมาจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุร้ายแรง
การพูดและภาษาล่าช้าอาจเกิดจากความบกพร่องทางการได้ยินหรือมีปัญหากับกล่องเสียง ลำคอ หรือโพรงจมูกหรือช่องปาก ความยากลำบากในการสื่อสารอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาของระบบประสาทส่วนกลาง
แต่โดยส่วนใหญ่ เรามักจะไม่พบสาเหตุทางการแพทย์ที่เฉพาะเจาะจงในการอธิบายความล่าช้าในการพัฒนา
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
จงเชื่อในสัญชาตญาณของคุณ เพราะคุณรู้จักลูกตัวเองดีที่สุด ดังนั้นคุณน่าจะเจอปัญหาหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ หากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัย ก็ลองเช็คกับแพทย์ดู แม้ว่าจะแค่ทำให้แน่ใจก็ตาม
มันจะเป็นประโยชน์มากหากมีการจดบันทึกเอาไว้ก่อนทำการนัดกับแพทย์ มีบางสิ่งที่รบกวนจิตใจคุณเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิธีที่ลูกของคุณเดินหรือพูดคุยหรือไม่ ลูกเหมือนจะมีพัฒนาการที่หยุดชะงักไปจากช่วงก่อนหน้านี้หรือไม่ คุณสังเกตเห็นสัญญาณเฉพาะใด ๆ ของความล่าช้าทางกายภาพหรือสัญญาณของความล่าช้าในเรื่องของภาษาและการสื่อสารหรือไม่
แพทย์จะตรวจสอบความล่าช้าทางพัฒนาการของลูกหรือไม่?
แน่นอนว่าแพทย์ควรจะทำเช่นนั้น เด็กทารกและเด็กเล็กจะได้รับการตรวจอย่างไม่เป็นทางการทุกครั้งที่มีการนัดกับแพทย์เพื่อดูว่ามีความล่าช้าอะไรหรือไม่ และพ่อแม่ก็ควรได้ทำแบบสอบถามเพื่อการคัดกรอง ในช่วงที่ลูกมีอายุ 9 18 และ 30 เดือนตามลำดับ หากคุณไม่ได้วางแผนที่จะตรวจสุขภาพเมื่อครบ 30 เดือน การตรวจร่างกายในช่วงครบ 24 เดือนก็สามารถทดแทนได้
แพทย์ควรถามคุณเกี่ยวกับข้อกังวลใด ๆ ที่คุณอาจมี โดยใช้แบบทดสอบประเมินการพัฒนาตามมาตรฐาน แพทย์จะมองหาทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะการสื่อสารและภาษา และความสามารถทางปัญญา
หากแพทย์พบสิ่งที่น่ากังวล เขาอาจส่งต่อให้คุณและลูกไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการของเด็กก่อนวัยเรียน และจะมีการประเมินผลการพัฒนาซึ่งเป็นการประเมินทักษะของลูกในเชิงลึก หากลูกของคุณมีความล่าช้าด้านภาษาหรือการสื่อสาร แพทย์อาจส่งเขาไปให้นักพยาธิวิทยาคำพูดเพื่อทำการประเมินที่มุ่งพัฒนาภาษาโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าปัญหาเรื่องการมองเห็นและการได้ยินซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในด้านอื่นอาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็น เว้นแต่คุณจะเป็นมืออาชีพ การตรวจตาและหูควรเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกายของเด็กทุกคน หากแพทย์สงสัยว่ามีปัญหา ลูกอาจต้องได้รับการทดสอบการได้ยินหรือการมองเห็นอย่างละเอียดมากขึ้น
การสังเกตพัฒนาการของลูกอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มองเห็นปัญหาของพัฒนาการที่ล่าช้าได้เร็วนะคะ และยิ่งเรารู้ตัวเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งจัดการกับปัญหาได้ไวขึ้นเท่านั้นค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th