ลูกเข้าใจว่ายังไง หาก “พ่อแม่หย่ากัน”
ความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่ “พ่อแม่หย่ากัน” และผลกระทบของการหย่าร้างอาจทำให้ผู้ใหญ่หลายคนสับสนได้ เมื่อมีการหย่าร้างเกิดขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบและบอบช้ำมากที่สุดก็คือเด็ก เด็กที่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นหรือจำเป็นต้องเกิดขึ้น ความสามารถของเด็กในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์อันไม่พึงประสงค์นี้ขึ้นอยู่กับอายุและสิ่งที่พวกเขาได้รับจากการบอกเล่า นั่นเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมเราจึงควรรู้ว่าควรบอกอะไรเขาบ้างเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันยิ่งยากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ในบทความวันนี้ เราจะมาดูกันว่าเด็ก ๆ เข้าใจการหย่าร้างอย่างไรในแต่ละช่วงอายุของพวกเขา
แรกเกิดถึง 18 เดือน
ทารกในวัยนี้ไม่เข้าใจรายละเอียดหรือสาเหตุของการหย่าร้างเพราะไม่เข้าใจการหย่าร้างนั่นเอง แต่พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความตึงเครียดและขัดแย้งได้หากมันเกิดขึ้นความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ซึ่งส่งผลเสียต่อเด็กในหลายระดับ ตัวอย่างเช่น พวกเขากลายเป็นคนหงุดหงิดและเกาะติด ส่งผลให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนใหม่ๆ ดังนั้น การมีบาดแผลทางจิตใจนี้ไม่เคยช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างราบรื่นและปกติ เพื่อลดความเสียหาย เป็นการดีกว่าที่จะไม่โต้เถียงต่อหน้าทารก และรักษากิจวัตรประจำวันของทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอนและมื้ออาหาร มอบของเล่นชิ้นโปรดและสิ่งของที่ให้ความรู้สึกปลดภัยแก่เขา ใช้เวลากับเขาให้มากที่สุด
3 ถึง 6 ปี
เด็กก่อนวัยเรียนและเด็กเล็กไม่เข้าใจการหย่าร้างอย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต้องการให้พ่อแม่แยกทางกัน พวกเขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง พวกเขาต้องขาดหนึ่งในสองคนที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและไม่สามารถเลือกได้ ในวัยนี้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบในการแยกทางจากพ่อแม่ พวกเขาผ่านความรู้สึกมืดมนและทำให้ต้องนอนฝันร้าย เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น ผู้ปกครองต้องเปิดการสนทนากับบุตรหลานเกี่ยวกับเรื่องนี้และพยายามส่งข้อความให้เขารับรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาต้องรู้สึกว่าความปลอดภัยของพวกเขาจะไม่สั่นคลอนโดยรับประกันว่าพวกเขาจะได้เห็นผู้ปกครองที่ยังใส่ใจในการเลี้ยงดู
อายุ 6 ถึง 11 ปี
เด็กอายุตั้งแต่ 6-8 ขวบยังไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องการหย่าร้าง และพวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพ่อแม่หย่าร้างไปจากพวกเขาด้วย พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังจะถูกทอดทิ้ง เด็ก ๆ จะรู้สึกเป็นเหมือนวีรบุรุษที่ต้องพยายามรักษาชีวิตแต่งงานของพ่อแม่ และหากล้มเหลว คุณก็สามารถจินตนาการถึงความตกใจได้เลย สิ่งนี้ส่งผลต่อบุคลิกภาพอย่างแน่นอน เนื่องจากอยู่ภายใต้กระบวนการหลอมสร้างบุคลิกภาพของเด็ก จากอีกมุมมองหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังสูญเสียผู้ปกครองที่จะไม่ได้คอยดูแล และพวกเขายังคงเพ้อฝันว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะกลับมารวมกันสักวันหนึ่ง
เด็กอายุตั้งแต่ 8-11 ปี จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ระหว่างตัวดีกับตัวร้ายที่เป็นพ่อและแม่ พวกเขาจะเชื่อมโยงสิ่งที่ดีจากมุมมองของพวกเขาและตำหนิทุกอย่างที่อยู่ในอีกมุม พวกเขากล่าวหาว่าพ่อแม่ของพวกเขาเห็นแก่ตัวและเลือกความภาคภูมิใจของพวกเขาเหนือความสามัคคีของครอบครัว โดยปกติ เด็ก ๆ มักประสบกับความไม่มั่นคงและพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น การทะเลาะวิวาทที่โรงเรียน ความซึมเศร้า หรือแม้แต่ความรู้สึกแปลกแยก
เพื่อให้พวกเขารับมือกับความเป็นจริงใหม่ พ่อแม่ทั้งสองต้องมีเวลาให้เพียงพอกับลูก ๆ และที่สำคัญที่สุดคือพ่อกับแม่ต้องให้เกียรติกัน แม้ว่าคุณจะนำพาพวกเขามาถึงสถานการณ์นี้และไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด ยิ่งกว่านั้น คุณควรนึกถึงลูก ๆ ด้วยความคิดที่ว่าพวกคุณจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และไม่ควรตำหนิซึ่งกันและกันเพราะจะทำให้เด็กสับสนและพยายามติดป้ายว ‘คนเลว’ ไว้ที่พ่อแม่คนหนึ่ง สุดท้าย พาลูกไปหาจิตแพทย์ในกรณีที่มีพฤติกรรมรุนแรง เช่น ใช้ความรุนแรงมากเกินไป
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th