รกเกาะต่ำ หนึ่งในภาวะเสี่ยงที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง
หลังจากที่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่บางคนอาจจะค้นหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต และพบว่ามีแม่ท้องหลายคนมีอาการ “รกเกาะต่ำ” แต่ภาวะนี้เกิดจากอะไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความเสี่ยงไหม และมีอันตรายกับลูกน้อยในครรภ์มากน้อยแค่ไหน วันนี้ Motherhood จะพาให้คุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักกับอาการนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
รู้จักกับภาวะรกเกาะต่ำ
รกเกาะต่ำ (Placenta Previa) คือ ภาวะที่รกเกาะอยู่ที่ผนังมดลูกส่วนล่าง ใกล้กับปากมดลูก หรือปิดขวางปากมดลูก ซึ่งโดยปกติแล้วในผู้หญิงตั้งครรภ์ทั่วไปรกควรจะเกาะอยู่ที่ผนังส่วนบนค่อนไปทางด้านหลังของโพรงมดลูก ทำให้ไม่มีสิ่งกีดขวางทางคลอดของทารก แต่ถ้ารกเกาะอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูกหรือคลุมมาถึงด้านในของปากมดลูก จะเรียกว่า “ภาวะรกเกาะต่ำ” ซึ่งถือเป็นภาวะที่ไม่ปกติ เพราะเลือดจะมาเลี้ยงบริเวณนี้น้อย จึงทำให้เด็กเจริญเติบโตช้าในครรภ์ เมื่อกล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวในเวลาคลอดจะทำให้มีการหดและยืดขยายของกล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่างด้วย จึงทำให้เกิดการลอกตัวของรกจากผนังมดลูก ส่งผลให้หลอดเลือดในบริเวณที่รกลอกตัวนั้นฉีกขาดและมีเลือดออกได้ในตำแหน่งที่รกลอกตัว ประกับกล้ามเนื้อส่วนล่างของมดลูกเป็นส่วนที่หดรัดตัวได้ไม่ดี จึงทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น พอปากมดลูกจะเปิดขยายออก ทำให้เส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างรกและมดลูกฉีดขาด มีเลือดออกมากทั้งก่อนหรือในขณะคลอด เกิดความเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ และอาจทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ แพทย์จึงนิยมให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำทำการผ่าคลอด (Caesarean Section)
อาการที่พบ
รกเกาะต่ำอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงระหว่างปลายไตรมาสที่ 2 ถึงต้นไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ประมาณร้อยละ 30 และจะลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 1 ในช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนการคลอด โดยอาการที่พบคือมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากทางช่องคลอดและมักไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในช่วงหลังของการตั้งครรภ์ เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วอาจกลับมาไหลอีกในช่วง 2-3 วันหรือในช่วงสัปดาห์ต่อมา บางรายอาจมีอาการปวด เจ็บแปลบ หรือมีการบีบตัวของมดลูกร่วมด้วย หากเสียเลือดมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ ตามมา เช่น ผิวซีด หายใจสั้น ชีพจรอ่อนหรือเต้นเร็วกว่าปกติ ความดันในเลือดลดต่ำลง โลหิตจาง เป็นต้น หากพบอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ลักษณะการเกิดภาวะรกเกาะต่ำแบ่งได้ 4 ประเภท คือ
- Low-Lying รกจะอยู่บริเวณด้านล่างใกล้กับขอบของปากมดลูก จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นถึงช่วงกลางของการตั้งครรภ์ แต่ยังสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
- Marginal รกจะอยู่ที่บริเวณส่วนล่างของมดลูก และจะดันตัวมาสัมผัสกับปากมดลูก อาจทำให้เสียเลือดมากขณะคลอด ยังพอมีโอกาสคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ หรืออาจต้องผ่าคลอด
- Partial รกจะปิดขวางหรือคลุมที่บริเวณปากมดลูกบางส่วน มักจะต้องผ่าคลอด
- Complete รกจะปิดหรือคลุมที่บริเวณปากมดลูกทั้งหมด เป็นสาเหตุให้คลอดทางช่องคลอดตามปกติไม่ได้ จึงต้องผ่าคลอด แต่อาจทำให้เสียเลือดมาก รวมถึงเกิดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
สาเหตุของภาวะรกเกาะต่ำ
เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ โดยปกติรกจะอยู่ด้านบนของมดลูกและห่างจากปากมดลูก หากเกิดภาวะรกเกาะต่ำ รกจะปกคลุมปากมดลูกเพียงบางส่วนหรือปกคลุมทั้งหมด ในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดภาวะรกเกาะต่ำ แต่เชื่อกันว่าอาจมาจากปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ตำแหน่งที่ผิดปกติของทารกในครรภ์
- การมีแผลที่ผนังมดลูก
- การผ่าคลอดในการตั้งครรภ์ในอดีต
- การขูดมดลูกที่มีสาเหตุมาจากการแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนด
- การตั้งครรภ์แฝด หรือมีจำนวนทารกในครรภ์มากกว่า 1 คน
- การตั้งครรภ์ตั้งแต่ครรภ์ที่ 2 เป็นต้นไป
- มดลูกที่มีขนาดใหญ่หรือมีรูปร่างที่ผิดปกติ
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่
การวินิจฉัยอาการ
ภาวะรกเกาะต่ำส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ โดยแพทย์จะวินิจฉัยด้วยการอัลตราซาวด์เมื่อถึงเวลานัดหมายของการฝากครรภ์ หรือหลังจากพบว่ามีเลือดไหลออกจากช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการของภาวะรกเกาะต่ำ โดยการอัลตราซาวด์ที่ใช้วิเคราะห์มี 2 วิธีหลัก ดังต่อไปนี้
- ตรวจทางช่องคลอด แพทย์จะใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจภายในช่องคลอดและปากมดลูก
- ตรวจทางหน้าท้อง โดยแพทย์จะทาเจลที่บริเวณหน้าท้อง จากนั้นจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ตัวแปลงสัญญาณ (Transducer) เพื่อตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกราน และหาตำแหน่งของรก
วิธีการรักษา
การรักษาภาวะรกเกาะต่ำจะขึ้นอยู่กับเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด หรืออาจพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น สุขภาพของมารดาและทารก ช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ ตำแหน่งของทารกในครรภ์มารดา แพทย์จะรักษาโดยพิจารณาถึงลักษณะและปริมาณของเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอดเป็นหลัก โดยมีแนวทางในการรักษาดังต่อไปนี้
- ในกรณีที่ไม่มีเลือดหรือมีเลือดออกเพียงเล็กน้อย แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักอยู่บนเตียงที่บ้าน ลดการเคลื่อนไหวของร่างกาย ลุกขึ้นหรือนั่งลงได้ในเฉพาะเวลาที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดเลือดออกที่บริเวณช่องคลอด รวมถึงการออกกำลังกาย ในกรณีนี้มีโอกาสคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ หรืออาจต้องผ่าคลอด
- ในกรณีที่มีเลือดออกมาก แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักที่โรงพยาบาล และจำเป็นต้องให้เลือดเพื่อทดแทนเลือดที่เสียไป แพทย์อาจให้ยาป้องกันการคลอดก่อนกำหนด หรือมีการเตรียมผ่าคลอด ในกรณีที่จำเป็นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของมารดาและทารกเป็นสำคัญ และแพทย์จะมีการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อเร่งการพัฒนาปอดของทารก
- ในกรณีที่มีเลือดออกไม่หยุด รวมถึงเกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์ แพทย์จะผ่าคลอดฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าจะยังไม่ครบกำหนดคลอดก็ตาม
ภาวะรกเกาะต่ำในหญิงตั้งครรภ์ในระยะแรกๆ ส่วนมากมักจะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรักษา เพราะเมื่อมดลูกโตขึ้น จะดึงให้รกเคลื่อนตัวขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในตำแหน่งที่ปกติ คือด้านบนของมดลูกได้เอง
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะรกเกาะต่ำจะส่งผลต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มาก คือ การคลอดก่อนกำหนด ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ รกที่ฉีกขาดหรือมีเลือดออกจะส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางกับทารก และต้องผ่าคลอด (Cesarean Section) แบบฉุกเฉิน หากเสียเลือดมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ ตามมา เช่น ผิวซีด หายใจสั้น ชีพจรอ่อนหรือเต้นเร็วกว่าปกติ ความดันในเลือดลดต่ำลง โลหิตจาง เป็นต้น
การป้องกันภาวะรกเกาะต่ำ
ภาวะรกเกาะต่ำในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากตัวคุณแม่จะไม่สามารถกำหนดหรือควบคุมการยึดเกาะของรกในมดลูกได้ แต่ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเราอาจควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะรกเกาะต่ำได้ เช่น การรักษาสุขภาพ งดการสูบบุหรี่ เป็นต้น
อย่างไรแล้วคุณแม่ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดีไว้ก่อนเป็นหลักเลยนะคะ เพราะว่าการป้องกันนั้นเรายังควบคุมเองไม่ได้มาก การมีสุขภาพที่ดีจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดปัญหาความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th