Site icon Motherhood.co.th Blog

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ดีจริงหรือ?

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี

การลงโทษเด็กด้วยการตี ส่งผลเสียมากกว่า แถมผิดกฎหมายด้วย

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ดีจริงหรือ?

สุภาษิตไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับยุคสมัยไปเสียแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและการเลี้ยงเด็กทั่วโลกมีทรรศนะที่คัดค้านกับการลงโทษหรือสั่งสอนเด็กด้วยการตีมาตลอด อย่างน้อยก็ในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ และในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศการตีเด็กถือเป็นอาชญากรรมตามกฎหมาย

การตีเด็กนั้นผิดกฎหมายมากกว่า 50 ประเทศในปัจจุบัน

การตีเด็กผิดกฎหมายในหลายประเทศ

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (3 ตุลาคม) สมาชิกรัฐสภาสกอตแลนด์มีมติเห็นชอบผ่านร่างกฎหมายห้ามลงโทษเด็กทางร่างกายเป็นชาติแรกของสหราชอาณาจักร ด้วยมติเห็นชอบ 84 ต่อ 29 เสียง เมื่อไรที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ก็จะส่งผลให้การตีเด็กเป็นอาชญากรรม ซึ่งการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ของสกอตแลนด์กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสมัชชาแห่งชาติเวลส์เช่นกัน

ส.ส. จอห์น ฟินนี สมาชิกรัฐสภาสกอตแลนด์ ได้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ ในเดือนกันยายน 2018 โดยก่อนหน้านี้การตีเด็กในสกอตแลนด์เป็นการกระทำที่ถูกกฎหมาย เพราะถือกันว่าเป็นการลงโทษเด็กที่สมเหตุสมผล และเป็นการฝึกระเบียบให้แก่เด็กๆ ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี จนทำให้เขาต้องการผลักดันให้การตีเด็กกลายเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม พรรคอนุรักษนิยมสกอตแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมกับระบุว่ากฎหมายนี้อาจเป็นการเอาผิดกับผู้ปกครองที่ดี และจะกลายเป็นการเพิ่มงานให้ตำรวจ เพราะต้องรับแจ้งคดีเล็กๆน้อยๆมากขึ้น

หลังจากที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา จึงทำให้สกอตแลนด์กลายเป็นประเทศที่ 58 ของโลกที่ออกกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มีผลบังคับใช้ทั่วยุโรปแล้ว ซึ่งประเทศแรกในโลกที่กำหนดให้การตีเด็กเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายคือประเทศสวีเดน ที่บังคับใช้ในปี 1979

การลงโทษทางร่างกายไม่ได้ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก

ทำไมถึงไม่ควรตีลูก?

จากรายงานของยูนิเซฟ (Unicef) พบว่า 3 ใน 10 ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ในโลกนี้ เชื่อว่าการลงโทษทางกายเป็นสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงดูเด็ก แต่ก็มีหลักฐานที่แสดงว่า การลงโทษทางร่างกายและทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่าไม่ได้ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กเลย

นักวิจัยจากทางมหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาและเก็บข้อมูลในจำนวนเด็กกว่า 160,000 คน มากว่า 50 ปี ซึ่งผลการวิจัยนั้นชี้ชัดไปในทิศทางเดียวกันว่า เด็กๆที่ถูกตีนั้น มักจะมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม มีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กก้าวร้าว และมีปัญหาทางจิต

การตีหรือการลงโทษลูกโดยใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือการลงโทษที่ทำให้เกิดการอับอาย ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็น Physical abuse (การทำร้ายร่างกายที่เห็นบาดแผลได้ชัดเจน) และ Emotional abuse (การทำร้ายทางด้านจิตใจ) เรียกว่าเป็นการสร้างวงจรแห่งความรุนแรงก็ว่าได้

สาเหตุที่ไม่ควรตีเด็กเพราะว่าเด็กมักจะเรียนรู้พฤติกรรมด้วยการเลียนแบบ จิตใต้สำนึกของเขาจะจดจำไว้ว่าเมื่อใครทำผิด ซึ่งบางครั้งก็อาจจะผิดแค่ในสายตาของเด็กเองคนเดียว ก็สมควรได้รับการทำร้ายร่างกาย  จึงไม่แปลกหากเด็กจะตีพ่อแม่กลับคืน หรือเมื่อเขาโตขึ้นไปอาจจะกลายเป็นคนที่ซ้อมภรรยา หรือรุมประชาทัณฑ์คนที่ทำผิด

ผลกระทบจากการโดนตี

เด็กที่ถูกลงโทษทางร่างกายบ่อยๆมักโตขึ้นมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม

ฝึกลูกให้ยอมรับผิดดีกว่า

เมื่อเด็กทำผิด คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้เด็กยอมรับผลการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่เริ่มจากการใช้ถ้อยคำดุว่าอย่างรุนแรง สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรเน้นสอนกับลูกให้มากๆ คือการให้ลูกทำตามกฎกติกาของสังคม และการฝึกความรับผิดชอบในตัวเอง เช่น ให้เขารับรู้ว่าหน้าที่ของเขาคือการเรียนหนังสือ เขาจะได้มีความรู้ ได้มีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ มีชีวิตครอบครัวของตัวเองในวันข้างหน้า ไม่ใช่ไปเรียนเพราะพ่อแม่สั่ง ไม่ไปแล้วครูจะโทรฟ้องพ่อแม่ แล้วก็โดนพ่อแม่ตีหรือดุด่าว่ากล่าว

สร้างวินัยเชิงบวกให้ลูกได้อย่างไร?

  1. ใช้อำนาจที่มีกับเด็ก ในขณะที่ยังให้ความเคารพต่อเขา มากกว่าที่จะใช้การบังคับและความกลัว
  2. ปฏิบัติต่อเด็กอย่างเท่าเทียมกัน
  3. รู้จักรับฟัง เพื่อที่จะเรียนรู้เด็กให้มากขึ้น
  4. ไม่อายที่จะพูดคำว่า “ขอโทษ” กับเด็ก และยอมรับความผิดพลาด
  5. สนับสนุนให้เด็กมีความอดกลั้น ความเท่าเทียม ความเคารพผู้อื่น
  6. พร้อมที่จะให้คำอธิบายต่อเด็กเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเด็กอยากรู้เหตุผลของการกระทำนั้นๆ
  7. สร้างความมั่นใจในตัวเองให้เด็ก
  8. มองปัญหาหรือความขัดแย้งเป็นโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน
  9. สื่อสารกับเด็กอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้ความก้าวร้าว
ยังมีทางเลือกในการทำโทษเด็กมากมาย นอกจากการตี

ทางเลือกอื่นในการลงโทษลูก

การลงโทษลูกด้วยการปรับพฤติกรรมเด็กได้ผลที่ดีกว่าการลงไม้ลงมือตีลูก แต่จะต้องใช้ความพยายามและใช้เวลามาพอสมควร เพราะนอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็กแล้ว ยังจะต้องรู้วิธีการสื่อสารกับเด็กอย่างถูกต้อง และยังต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในบ้าน เพื่อให้การแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กเป็นไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th