ลูกชอบโกหก จะทำยังไงดี ?
เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น การอบรมพฤติกรรมของลูกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะละเลยไม่ได้ วันนี้ Motherhood จะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหา “ลูกชอบโกหก” ว่ามันมีที่มาจากอะไร และเราในฐานะพ่อแม่จะสามารถแก้ไขหรือป้องกันปัญหานี้ได้อย่างไร
ทำไมลูกชอบโกหก ?
จนกว่าเขาจะมีอายุ 3 หรือ 4 ขวบ ลูกของคุณจะยังไม่สามารถแยกแยะระหว่างความเป็นจริงและจินตนาการได้ นั่นหมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กอายุ 1-2 ปีจะเข้าใจแนวคิดการโกหกและการพูดความจริง ดังนั้น หากเขาพูดโกหก มันอาจจะมีสาเหตุมาจาก
- จินตนาการที่ล้นเกิน: ความคิดสร้างสรรค์ของเขาพัฒนาไปมากจนบางครั้งเขาอาจคิดว่าสิ่งที่เขาเชื่อคือความจริง พวกเราไม่เคยมีปลาที่ว่ายน้ำในอ่างอาบน้ำด้วยกันกับเราเลยหรือ หรือเจ้าหญิงที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงของพวกเรา
- ความหลงลืม: เด็กอายุ 2 ขวบที่แอคทีฟจะสามารถจำได้อย่างไรว่าใคร (ระหว่างเขากับพี่ ๆ น้อง ๆ) เคยมีตุ๊กตาเทเลทับบี้ก่อน เขาแค่รู้ว่าเขาต้องการมันตอนนี้ และเมื่อคุณดุลูกของคุณสำหรับรอยดินสอบนผนัง แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำ เขาก็ไม่ได้โกหกเขาแค่ลืมไปแล้วว่าเขาทำ หรือมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเขาไม่ได้ทำ
- รู้สึกเป็นเทวดาตัวน้อย: เด็กที่รับรู้ว่าพ่อแม่คิดว่าเขาทำอะไรก็ไม่ผิด จะเริ่มเชื่อตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นจริง “แม่กับพ่อรักฉันเพราะฉันดีมาก เด็กดีจะไม่ทำนมของเขาหกแบบนั้น นมอะไรกัน ? ฉันไม่เห็นนมหกออกมาซะหน่อย! “
สิ่งที่คุณต้องทำ
มันอาจดูเหมือนขัดกับความเป็นจริง เพราะคุณไม่ต้องการที่จะส่งเสริมการโกหก แต่วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับพฤติกรรมนี้คือการผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับนิทานเพ้อ ๆ ของลูกคุณ จินตนาการอันสูงส่งโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตราย และมันยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามปกติของเด็กอายุ 2 ปี ท้ายที่สุด คุณอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกคืน ทำไมไม่ลองให้เขาเสนอตัวเองบ้างละ
เช่นเดียวกันสำหรับเพื่อนในจินตนาการ นักกุมารแพทย์ชื่อดัง T. Berry Brazelton กล่าวในหนังสือของเขา Touchpoints ว่า การมีเพื่อนในจินตนาการเป็นเรื่องปกติและเป็นสัญญาณถึงการพัฒนาทางจินตนาการที่ดีของเด็ก แม้เมื่อลูกวัยหัดเดินของคุณโทษความผิดให้ “เพื่อน” ของเขา ก็ไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวล จากมุมมองทางอารมณ์ เพื่อนในจินตนาการรับใช้จุดประสงค์ที่สำคัญ นั่นก็คือ พวกมันเป็นหนทางที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในการค้นหาว่าเขาต้องการเป็นใคร
แม้ว่ามันจะไม่คุ้มค่าที่จะลงโทษลูกวัย 2 ขวบของคุณเมื่อเขาเสริมแต่งความจริง แต่คุณสามารถหล่อเลี้ยงสัญชาตญาณของเขาให้เป็นความจริงในแบบที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้ และนี่คือกลยุทธ์บางส่วน
- ส่งเสริมการบอกความจริง แทนที่จะโกรธแค้นลูกของคุณ ให้ขอบคุณเขาที่บอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากคุณตะโกนใส่ เขาก็ไม่น่าจะรู้สึกว่าความซื่อสัตย์นั้นคุ้มค่ากับที่ต้องบอกคุณออกไป
- อย่ากล่าวโทษ รับฟังความคิดเห็นให้มาก เมื่อนั้น พวกเขาจึงจะสารภาพ ไม่ใช่ยืนกรานปฏิเสธ “แม่สงสัยว่าดินสอสีเหล่านั้นกระจายอยู่ทั่วพรมในห้องนั่งเล่นได้ยังไง แม่หวังว่าจะมีคนช่วยแม่เก็บมันขึ้นมานะ”
- อย่าผลักภาระให้ลูกหนักจนเกินไป อย่าใส่น้ำหนักความคาดหวังให้ลูกของคุณหรือตั้งกฎที่มากเกินไป เพราะเขาจะไม่สามารถเข้าใจหรือทำตามมันได้ดีสักเท่าไหร่ และเขาอาจรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังของพวกคุณ
- สร้างความไว้วางใจ บอกให้ลูกของคุณรู้ว่าคุณไว้ใจเขาและคุณสามารถไว้ใจได้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำให้ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายของบ้าน เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเป็นแบบอย่างของความไว้วางใจ เมื่อคุณรู้เช่นนี้แล้ว ให้ลองทำดูเมื่อคุณทำมันได้ คือการหลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริงแบบครึ่งเดียว ตัวอย่างเช่น หากลูกของคุณครบกำหนดนัดตรวจร่างกาย อย่าบอกเขาว่ามันจะไม่เจ็บ (เขาจะรู้ได้ในวินาทีเดียวนั่นแหละว่ามันไม่จริง) พยายามรักษาคำพูดของคุณ และเมื่อคุณทำไม่ได้ ให้ขอโทษที่ทำผิดสัญญา และเหนือสิ่งอื่นใดจงยกย่องบุตรหลานของคุณทุกครั้งที่เขาพูดความจริง ถ้าเขายอมรับว่าเขากินคุกกี้ ให้หลีกเลี่ยงที่จะดุว่าเขา แต่จงขอบคุณเขาสำหรับการยอมรับในสิ่งนั้น การเสริมแรงทางบวกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะพูดแต่ความจริง
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th