ลูกถูกรังแก พ่อแม่ทำยังไงดี ?
วิธีที่คุณจะตองสนองต่อเหตุการณ์ที่ “ลูกถูกรังแก” จะสอนลูกคุณว่าเขาควรทำอย่างไรกับความรู้สึกอันรุนแรงนี้ แม้ผู้เชี่ยวชาญจะเน้นย้ำว่า ยิ่งคุณใช้สติในการเลี้ยงลูกมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้ประสิทธิผลที่ดีมากขึ้นเท่านั้น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อลูกของเราถูกรังแก เมื่อพ่อแม่อย่างเราเห็นว่าลูกของเราได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม มันจะทำให้สัญชาตญาณในการปกป้องของเราเริ่มขึ้น ซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างถูกต้องกันค่ะ
มองจากมุมมองของเด็ก
เราทุกคนรู้ดีว่าเด็ก 3 ขวบไม่ได้มีความสามารถอะไรมากในการยับยั้งชั่งใจตัวเอง เด็กอาจจะมีความรู้สึกรุนแรงข้างในหัวที่กลายเป็นแรงกระตุ้นอันก้าวร้าว โดยที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจว่าทำไม นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องคอยอยู่ข้าง ๆ การตบตีกันอย่างหุนหันพลันแล่นของเด็กอาจเป็นพฤติกรรมที่ปกติ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาจะต้องเรียนรู้ว่าพฤติกรรมนี้ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นที่ยอมรับ
เป็นเรื่องที่ดีที่เราจะระลึกไว้เสมอลูก ๆ ของเราและลูกของคนอื่นกำลังจับตาเราอยู่ มันอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อพวกเด็ก ๆ ไม่ได้เก็บของเล่นอย่างเป็นระเบียบแม้ว่าพวกเขาจะเห็นเราทำเช่นนั้นอยู่ทุกชั่วโมง แต่พวกเด็ก ๆ จะให้ความสำคัญต่อการตอบสนองของเราโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตึงเครียด หากมือตบตัวน้อยวัย 3 ขวบ เห็นผู้ใหญ่กำลังอารมณ์เสีย แสดงว่าเธอจะไม่ได้เรียนรู้ว่าจะต้องจัดการกับอารมณ์นั้นอย่างไร
ใจเย็นเข้าไว้
หากพ่อแม่ของเด็กที่กระทำผิดไม่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ คุณสามารถจัดการมันได้ เข้าไปถามลูกของคุณว่าเขาโอเคหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าเขาน่าจะกำลังมีน้ำตา พูดกับเด็กอีกคนอย่างใจเย็นว่า ดูเหมือนว่าหนูทำร้ายลูกสาวของคุณและทำให้เธอเสียใจ หวังว่าการดำเนินการในลักษณะนี้จะกระตุ้นให้ครูและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ทำหรือพูดอะไรบางอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ การตอบสนองอย่างสงบของคุณยังทำให้ลูกมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
คุณค่าของการใช้สตินั้นมีประโยชน์มากในการเลี้ยงดูลูกของคุณ การฝึกสติจะช่วยให้สมองของเราสงบในสถานการณ์ที่ตึงเครียดซึ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รุนแรง ในที่สุดระดับความสงบนี้จะช่วยให้เราตอบสนองได้ดีขึ้น
มันทำงานอย่างไร ? การฝึกสติจะพัฒนาการรับรู้ถึงความคิดและความรู้สึกในช่วงเวลาปัจจุบัน การแสดงความรับรู้ในขณะนี้ เช่น “ความโกรธของฉันเพิ่มขึ้นและฉันควบคุมไม่ได้ ฉันต้องการตบพ่อของเด็กคนนั้นเหมือนกับที่ลูกของเขาตบฉัน” จับคู่กับการหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้รู้สึกโกรธน้อยลง การทำเช่นนี้ช่วยให้เราตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่ช่วยให้เรามาถึงจุดนี้ของการควบคุมตนเองได้คือการทำสมาธิ เมื่อเวลาผ่านไป การฝึกสมาธิทำให้สมองของเราเปลี่ยนไป มันส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาน้อยลงแม้จะมีอารมณ์รุนแรงและความคิดเชิงลบ เมื่อเราฝึกฝนแม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน เราก็จะพร้อมมากขึ้นสำหรับช่วงเวลาวิกฤตของการเป็นพ่อแม่
ถ้ายังมีครั้งต่อไป …
ในขณะที่คุณพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากการเจริญสติและการทำสมาธิ คุณก็ควรเตรียมพร้อมหากเหตุการณ์ที่คล้ายกันกับการตบตีเกิดขึ้นอีกครั้ง หากมีการกระทำซ้ำ ๆ มันจะกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่า เด็กแต่ละคนในชั้นเรียนควรรู้สึกปลอดภัย และพฤติกรรมก้าวร้าวซ้ำ ๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่ได้รับรู้ต่อปัญหาอย่างเหมาะสมจะขัดขวางความรู้สึกปลอดภัยนี้
หากเด็กคนนี้ทำร้ายลูกของคุณอีกครั้งให้ทำตามกลยุทธ์ที่กล่าวไว้ข้างต้นเพื่อจัดการกับมันในขณะที่สงบสติอารมณ์ จากนั้นเข้าหาครูนอกชั้นเรียนและแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่คุณกังวล ร่วมกันค้นหาขั้นตอนเพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของเด็กก่อนวัยเรียน ต้องมีความคาดหวังที่ชัดเจนร่วมกันว่าจะไม่อนุญาตให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวในชั้นเรียน
ไม่คำถามใดทั้งสิ้นในการที่เราจะเข้าปกป้องลูกของเรางทางร่างกายและอารมณ์ สิ่งที่แน่นอนอย่างที่สุดก็คือ ยิ่งเราจัดการกับปัญหาได้ดีเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้รับการปกป้องที่ดีเท่านั้น
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th