Site icon Motherhood.co.th Blog

อาหารเสริมทารก พร้อมสูตรอาหารแบ่งแยกตามวัย

การกินอาหารเสริมทารก

ควรเลือกอาหารเสริมให้ทารกอย่างเหมาะสมตามวัย

อาหารเสริมทารก พร้อมสูตรอาหารแบ่งแยกตามวัย

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบกันไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่ควรเริ่มให้ลูกกิน “อาหารเสริมทารก” รวมถึงพัฒนาการในการกินตามวัยของเด็ก วันนี้เราจะมาเจาะลึกลงไปถึงการวัดความพร้อมตามวัยที่สมควรจะเริ่มกินอาหารสำหรับเด็ก รวมทั้งประเภทของอาหารที่ลูกจะสามารถกินได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการในช่วงวัยของเขา

พัฒนาการของลูกในระบบต่างๆเกี่ยวกับการกินคือตัวชี้วัดความพร้อม

ความพร้อมของระบบทางเดินอาหาร

ทารกแรกเกิดจะมีอาการห่อปากเอาลิ้นดันอาหารออกมา (Extrusion reflex) โดยทารกจะห่อปากและเอาลิ้นดุนอาหารออกมาเมื่อได้รับอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว เมื่อทารกอายุได้ 4-6 เดือน อาการนี้จะหายไป จะสามารถตวัดอาหารลงสู่ลำคอและกลืนอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวได้

น้ำย่อยที่สำคัญในการย่อยแป้งคืออะไมเลส (Amylase) จากตับอ่อนยังมีระดับต่ำอยู่ในทารกแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 6 เดือน นอกจากนี้น้ำย่อยไลเปส (Lipase) จากตับอ่อน เกลือน้ำดี (Bile salt) และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของทารกยังมีปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ จนเมื่อทารกมีอายุเข้า 4-5 เดือน กระเพาะอาหารจะเริ่มหลั่งกรดและน้ำย่อยเปปซิน (Pepsin) ออกมามากขึ้น และตับอ่อนจะหลั่งน้ำย่อยอะไมเลสและไลเปสเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากความพร้อมด้านการกลืนและการย่อยแล้ว การให้อาหารอย่างอื่นนอกจากนมแม่แก่ทารกที่อายุยังน้อย ยังเสี่ยงต่อการแพ้โปรตีน และสารโมเลกุลใหญ่จะสามารถดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กของทารก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดภูมิแพ้

ความพร้อมของไต

ควรเริ่มให้อาหารเสริมตามวัยของทารก เมื่อไตสามารถขับถ่ายของเสียและทำให้ปัสสาวะเข้มข้นได้มากพอ เพื่อให้สามารถขับถ่ายยูเรียและโซเดียมได้ดี ทารกแรกเกิดจะมีอัตรการกรองของไตประมาณร้อยละ 15 ของผู้ใหญ่ และเพิ่มขึ้นตามลำดับที่ร้อยละ 60 เมื่ออายุ 6 เดือน และเท่ากับผู้ใหญ่เมื่ออายุ 2 ปี

ไตของทารกแรกเกิดยังไม่สามารถขับถ่ายยูเรียและฟอสฟอรัสทางปัสสาวะได้ดี ดังนั้นถ้าทารกได้รับอาหารที่มีโปรตีนสูงมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะยูเนียในเลือดสูง (Uremia) และเลือดเป็นกรดได้

ความพร้อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

ทารกที่เริ่มมีความพร้อมในการกินอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว จะต้องเป็นทารกที่สามารถควบคุมการทรงตัวของศีรษะและลำตัวได้ดี เริ่มใช้มือคว้าของเข้าปากได้ Extrusion reflex ของลิ้นลดลง แสดงกิริยายอมรับอาหารเมื่อหิวหรือปฏิเสธอาหารเมื่ออิ่มได้ จึงช่วยป้องกันการให้อาการมากเกินไปจนทำให้เกิดโรคอ้วน

เมื่อพิจารณาเห็นถึงความพร้อมต่างๆของทารกแล้ว จึงควรเริ่มให้อาหารตามวัยเมื่อทารกมีอายุได้ 6 เดือน เพื่อฝึกให้เขารู้จักกับอาหารอื่นนอกจากนม และฝึกทักษะในการกลืนอาหาร

เด็กอายุ 6 เดือน

ในช่วงแรกของการกินอาหารที่นอกเหนือไปจากนมแม่นี้ ต้องให้ลูกฝึกการบดเคี้ยวก่อนด้วยอาหารเหลวแบบข้น จะเป็นจำพวกผัก อย่าง ตำลึง ฟักทอง หัวผักกาด และมันฝรั่งก็ได้ หรือจะเป็นไข่แดง กล้วย ส้ม และแอปเปิ้ล ที่นำมาต้มจนเปื่อยแล้วบดกับข้าวจนละเอียดก็ดี ควรป้อนให้ลูก 1-2 ช้อนชาก่อนเพื่อดูว่าลูกกินได้ไหม มีอาการแพ้หรือไม่ และควรทำเมนูเดิมติดต่อกันประมาณ 5-7 วันเพื่อสังเกตอาการแพ้ก่อนเปลี่ยนเป็นเมนูอื่น เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

ตัวอย่างเมนู

Image: Shutterstock

1. ซุปครีมแครอท

เริ่มจากปอกเปลือกแครอทและซอยเป็นแว่น นำแครอทไปต้มในน้ำจนสุกและเนื้อนิ่ม จากนั้นบดแครอทในถ้วยบดจนละเอียดเป็นเนื้อเนียน

Image: Shutterstock

2. ข้าวบดผักรวม

ให้นำผักตำลึงและผักโขมไปต้มและบดจนละเอียด จากนั้นผสมข้าวบดกับนมแม่เข้าด้วยกัน และนำผักต้ม ข้าวบด และนมผสมเข้าด้วยกันจนเนื้อเนียน

Image: Shutterstock

3. ข้าวบดฟักทอง

นึ่งและบดฟักทองจนเนื้อนุ่มละเอียด จากนั้นผสมข้าวบดกับนมเข้าด้วยกัน และนำข้าวบด นม และฟักทองผสมเข้าด้วยกันจนเนื้อเนียนละเอียด

เด็กอายุ 7-9 เดือน

เด็กวัยนี้เริ่มทานอาหารได้หลากหลายขึ้น อาจเพิ่มเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมู หรือผักชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วลันเตา แครอท เห็ด หอมใหญ่ บล็อกโคลี บีทรูท บดแบบหยาบเพื่อให้ลูกได้ใช้เหงือกหรือฟันเคี้ยวอาหารและลิ้มรสชาติอาหารอย่างเต็มที่ แต่ไม่ควรใส่เกลือ น้ำตาล หรือน้ำผึ้งเพื่อปรุงรส เพราะอาจทำให้เด็กติดรสชาติอาหารนั้นๆจนส่งผลเสียได้

ตัวอย่างเมนู

Image: Shutterstock

1. ซุปปลาผักรวม

หั่นแครอท ถั่ว และมันฝรั่งให้มีขนาดเล็กพอดีคำ แล้วต้มผักทั้งหมดให้สุกจนนิ่ม จากนั้นต้มเนื้อปลาจนสุก แล้วยีเนื้อปลาเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมเนื้อปลากับผักเข้าด้วยกัน

Image: Shutterstock

2. ข้าวบดไข่ใส่ฟักทอง

เริ่มจากต้มข้าวบดจนนิ่ม จากนั้นหั่นฟักทองและเต้าหู้ไข่ขนาดเล็กพอดีคำลูก ยีไข่แดงผสมกับฟักทอง และผสมไข่แดงที่ยีรวมกับฟักทอง เต้าหู้ไข่ และข้าวบดเข้าด้วยกัน

Image: Shutterstock

3. ข้าวกล้องผักไข่แดง

หั่นฟักทองและแครอทเป็นชิ้นพอดีคำ นำไปต้มจนนิ่ม จากนั้นยีไข่แดงต้มสุก นำไปคลุกกับข้าวกล้อง บี้เล็กน้อยให้เข้ากัน ใส่ผักและน้ำซุปลงไปผสมให้เข้ากัน

เด็กอายุ 10-12 เดือน

เด็กวัยนี้เริ่มเคี้ยวอาหารอ่อนนุ่มได้บ้าง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมอาหารชิ้นเล็กพอดีคำและเคี้ยวง่ายให้กับลูก เน้นโปรตีนเป็นหลัก และอาจเพิ่มมะม่วงสุก สับปะรด มะเขือเทศ หรือเต้าหู้ เสริมเข้ามาด้วย ทั้งนี้ควรจัดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม คือ 1 ถ้วยเล็ก เพื่อไม่ให้ลูกอิ่มเกินไปจนท้องอืด

ตัวอย่างเมนู

Image: Shutterstock

1. ไข่ตุ๋น

ผสมน้ำซุปกับไข่ไก่เข้าด้วยกัน ใส่เห็ดและเนื้ออกไก่ที่ต้มจนสุกลงไปก้นถ้วยที่เตรียมไว้ เทไข่ไก่ที่ผสมซุปใส่ถ้วยผ่านกระชอน ให้เนื้อเนียนสวย และนำไปนึ่งจนสุก

Image: Shutterstock

2. ข้าวต้มฟักทอง

ต้มนมจนเดือด แล้วใส่ฟักทองที่ต้มจนนิ่มและข้าวหุงสุกลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆจนข้าวต้มข้นเข้ากัน

Image: Shutterstock

3. ซุปมักกะโรนี

เริ่มจากต้มมักกะโรนีไว้ก่อน จากนั้นต้มน้ำซุปจนเดือดและใส่แครอทลงไป ใส่มักกะโรนีที่ต้มไว้ตามลงไป และต้มต่อไปจนได้ที่

ปริมาณวิตามินและแร่ธาตุที่ทารกต้องการต่อวันโดยแบ่งตามวัย

และเมื่อลูกน้อยเริ่มนั่งกินอาหารเองได้ ควรพาเขามาร่วมนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวด้วย เพื่อให้เขาเกิดความเคยชิน และได้ใช้ช่วงเวลานี้ซึมซับความรักความอบอุ่นจากทุกคนในครอบครัว

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th