Site icon Motherhood.co.th Blog

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับ “เด็กกับศาสนา”

งานวิจัยเด็กกับศาสนา

พบกับงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กและศาสนาที่ขัดแย้งกับสิ่งที่คนเราเชื่อมาตลอด

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับ “เด็กกับศาสนา”

มีข่าวเกี่ยวกับงานวิจัยเกี่ยวกับ “เด็กกับศาสนา” มากฝากกันค่ะ งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่นับถือศาสนาจะมีเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่า

จากงานวิจัยใน Current Biology วารสารชีววิทยาที่ตีพิมพ์ในปี 2015 รายงานว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่นับถือศาสนามักจะมีความเมตตามากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา การศึกษาครั้งนี้มีชื่อว่า “ความเกี่ยวพันเชิงลบระหว่างศาสนากับความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของเด็กทั่วโลก” (The Negative Association Between Religiousness and Children’s Altruism Across the World) ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างนักวิชาการหลายคนจากมหาวิทยาลัย 7 แห่งทั่วโลก โดยทีมวิจัยได้เลือกศึกษาจากกลุ่มเด็กที่มีพื้นฐานครอบครัวแตกต่างกันไป ทั้งจากครอบครัวชาวคริสต์ มุสลิม และไม่นับถือศาสนา ซึ่งผลการวิจัยคือ “เด็กจากครอบครัวที่นับถือศาสนามักชอบตัดสินคนอื่นมากกว่า”

ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับศาสนาในสมัยนี้เบาบางลงทุกที

การวิจัยมีขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างเด็กเกือบ 1,200 คน ที่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 12 ปี ซึ่งเด็กๆเหล่านี้มาจากหลายประเทศและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน จอร์แดน ตุรกี และแอฟริกาใต้ ในบรรดาเด็กที่เข้าร่วมการทดลอง เป็นชาวคริสต์เกือบ 24% ชาวมุสลิม 43% และไม่นับถือศาสนาอีก 27.6% ส่วนเด็กๆที่เป็นชาวยิว พุทธ ฮินดู หรือผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า หรือศาสนาอื่นที่มีจำนวนน้อย ไม่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติมากพอที่จะรวมเข้าไปในผลการวิจัย

กระบวนการวิจัยจะกำหนดให้เด็กเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สมมติที่พวกเขาจะมีโอกาสได้แบ่งปันกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังแสดงภาพวิดีโอของเด็กที่กำลังต่อสู้กัน ในระหว่างนั้นเองนักวิจัยที่สังเกตการณ์อยู่ก็จะประเมินปฏิกิริยาของพวกเด็กๆ

เป็นที่น่าประหลาดใจว่าผลการศึกษาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เด็กๆจากครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์และครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นสองศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก กลับมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่นับถือศาสนา นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าเด็กที่มีอายุมากกว่าซึ่งได้รับการปลูกฝังเรื่องศาสนามาอย่างเคร่งครัดนั้น จะแสดงออกด้านความสัมพันธ์ในแง่ลบมากกว่า และยังพบว่าเด็กที่นับถือศาสนามีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นและลงโทษเด็กคนอื่นๆด้วย

“ผลการวิจัยพบว่าศาสนาไม่ได้ทำให้เด็กเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนที่เราตั้งสมมติฐานกันไว้ ตรงกันข้ามกลับส่งเสริมให้เด็กมีแนวโน้มพฤติกรรมการลงโทษผู้อื่น ซึ่งผลลัพธ์ที่เรารวบรวมได้นี้คล้ายคลึงกันในหลายๆประเทศ อาจสรุปได้ว่าศาสนามีอิทธิพลในทางลบต่อความเอื้อเฟื้อของเด็กๆ ท้าทายมุมมองความเชื่อเดิมที่ว่าศาสนาช่วยเสริมสร้างให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น” นักวิจัยกล่าว

ครอบครัวมีอิทธิพลกับเด็กมากในการปฏิบัติทางศาสนา

อีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในงานวิจัยคือ ครอบครัวที่พ่อแม่นับถือศาสนามักจะลงโทษลูกๆ และเป็นการลงโทษด้วยการตี ซึ่ง Alan Edward Kazdin ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยจิตวิทยาและจิตเวชเด็กที่มหาวิทยาลัยเยล และผู้อำนวยการแห่ง Yale Parenting Center and Child Conduct Clinic กล่าวว่าการลงโทษเด็กด้วยการตีนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้ผลดีเหมือนที่พ่อแม่หลายคนคิด แน่นอนว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่พิสูจน์ว่าการตีนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็ก

แม้งานวิจัยนี้จะแสดงให้เราเห็นว่าเด็กที่นับถือศาสนามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่น้อยกว่า แต่เราก็ไม่สามารถเหมารวมได้ทั้งหมดเพราะการวิจัยนี้เน้นการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาในครอบครัว เช่น การพาลูกไปวัดหรือโบสถ์ อย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่สนใจเงื่อนไขทางครอบครัวและวิธีการเลี้ยงดูอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็ดี ข้อมูลบางส่วนของงานวิจัยชิ้นนี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ที่เคร่งศาสนามีแนวโน้มจะเป็นพ่อแม่ที่ชอบใช้อำนาจกับลูก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพฤติกรรมการเลี้ยงดูเช่นนี้จะเป็นสาเหตุให้เด็กมีบุคลิกต่อต้านสังคมได้ในวันหน้า

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกับผลวิจัยนี้บ้างคะ การเลี้ยงลูกให้โตมาเป็นคนที่โอบอ้อมอารีนั้นก็ต้องอาศัยหลายปัจจัยด้วยกัน Motherhood เองเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่จะพยายามอย่างดีที่สุด ในการจะเลี้ยงลูกรักให้โตขึ้นมามีจิตใจดี เป็นที่รักใคร่ของผู้คนในสังคมนะคะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th