Site icon Motherhood.co.th Blog

เมื่อแฟชั่นของเด็ก ๆ “เป็นกลางทางเพศ” มากขึ้น

แฟชั่นเด็กที่เป็นกลางทางเพศ

เมื่อเสื้อผ้าแฟชั่นของเด็กก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางเพศที่มากขึ้น

เมื่อแฟชั่นของเด็ก ๆ “เป็นกลางทางเพศ” มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ของเล่น หรือเสื้อผ้า การจัดหมวดหมู่เพศสำหรับเด็ก ๆ ตอนนี้หันมามีความ “เป็นกลางทางเพศ” กันมากขึ้นกว่าครั้งไหน ๆ ในประวัติศาสตร์โลก แต่แนวคิดเบื้อหลังเรื่องนี้คืออะไร และในฐานะพ่อแม่ เราควรปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับแนวคิดการเลี้ยงลูกอย่างเป็นกลางทางเพศในสมัยนี้ คุณสามารถติดตามได้ในความตอนนี้ค่ะ

จากมุมมองทางธุรกิจ มันสมเหตุสมผลดีที่จะผลิตสินค้าออกมาแบบแบ่งแยกตามเพศของผู้ใช้ เพราะคุณจะขายได้มากเป็นสองเท่า แต่ในฐานะพ่อแม่และผู้บริโภคแล้ว คุณอาจจะต้องหยุดคิดสักครู่และประเมินว่าคุณยอมรับในบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ เพราะพวกเราเริ่มกำหนดเพศสภาพของลูก ๆ ก่อนที่พวกเขาจะเกิดด้วยซ้ำ

Image: teenvogue.com

เมื่อคุณเลือกที่จะก้าวไปสู่วิถีชีวิตที่โอบรับความซาบซึ้งในการแสดงออก ความเป็นตัวของตัวเอง และความคิดสร้างสรรค์ คุณจะรู้สึกมีความสุขและมีความหวังเมื่อคุณได้มอบพื้นที่ที่ซื่อสัตย์และเปี่ยมด้วยความรักความเข้าใจให้กับลูกน้อยของคุณ สำหรับการค้นพบตนเองและการใช้ชีวิตที่แท้จริง

หากนี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ นี่คือเรื่องราวของแฟชั่นที่เป็นกลางทางเพศ และเหตุผลที่คุณควรยอมรับการเคลื่อนไหวนี้อย่างสุดใจ

เสื้อผ้าที่เป็นกลางทางเพศคืออะไร ?

ขบวนการแฟชั่นที่เป็นกลางทางเพศมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเสื้อผ้าที่เด็กทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้โดยไม่คำนึงถึงเพศ และปฏิเสธแนวคิดที่ว่าสีชมพูเป็นสีสำหรับเด็กผู้หญิงและสีน้ำเงินสำหรับเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิงควรมีความละเอียดอ่อนในขณะที่เด็กผู้ชายควรมีความอดทน เด็กสามารถเป็นแค่เด็กและออกไปเล่นได้อย่างสนุกสนาน

เป้าหมายเบื้องหลังเสื้อผ้าที่เป็นกลางทางเพศ (และของเล่น) คือการปลดปล่อยเด็กจากความคาดหวังทางสังคมตามเพศของพวกเขา เรามักไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบรรทัดฐานและคำจำกัดความทางวัฒนธรรมในปัจจุบันของเราเกี่ยวกับเพศ ได้ถูกตั้งโปรแกรมอย่างละเอียดไว้ในจิตใจของลูกหลานของเราอย่างไร

เพราะต้องการปลดปล่อยเด็กจากความคาดหวังทางสังคมตามเพศ

หากคุณขึ้นเครื่องบินไปกับสามี คุณอาจพบว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเสนอนิตยสารให้เขาเลือกจาก The Economist หรือ Newsweek และอื่นๆ จากนั้นเธอก็มองมาที่คุณและยื่นนิตยสารอย่าง Cosmopolitan และ Vogue ออกมา แน่นอนว่าผู้หญิงหลายคนก็ชื่นชอบในแฟชั่นและวัฒนธรรมป็อบต่าง ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความพวกเธอจะไม่สนใจเรื่องของธุรกิจหรือมุมมองอย่างผู้บริหาร

ประเด็นคือ วิธีคิดนี้ฝังรากลึกในสังคมของเรา และยังคงส่งต่อความคิดที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายถึงลูกหลานของเราในแต่ละครั้ง นั่นเป็นเพียงวิธีการทำงานของวัฒนธรรม มันจะยังเป็นไปเช่นนั้น จนกว่าปัจเจกบุคคลจะเริ่มรับรู้และร่วมกันแผ้วถางไปสู่เส้นทางที่ดีขึ้น เมื่อนั้นวัฒนธรรมก็พัฒนา หรือพอจะพูดว่าได้ก้าวหน้าขึ้น

สวีเดนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 5 ประเทศชั้นนำของโลกในด้านความเท่าเทียมทางเพศ และปัจจุบันพวกเขามีโรงเรียนอนุบาลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ 2-3 แห่ง ที่กำลังทดลองด้วยวิธีความเป็นกลางทางเพศโดยสมบูรณ์ ที่อนุบาลเหล่านั้น ครูไม่ได้บอกถึงเพศของเด็กด้วยซ้ำ

มันอาจฟังดูสุดโต่ง แต่เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาถ่ายทำวิดีโอไว้เองเป็นเวลา 1 ปี และพบว่าพวกเขาใช้คำและน้ำเสียงที่ต่างกันเมื่อพูดคุยกับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ในกระบวนทัศน์การจำกัดเพศของเราในปัจจุบัน เด็กผู้หญิงมักจะได้รับการชมเชยรูปร่างหน้าตาของพวกเธอมากกว่าความสนใจหรือความสามารถ ในขณะที่เด็กผู้ชายมักจะถูกสอนให้เข้มแข็งและฝังเก็บอารมณ์ ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ปัญหาเรื่อง Body image และการต่อสู้ทางอารมณ์และจิตใจ ต่อมาในชีวิต สำหรับเรา การโอบรับสิ่งของสำหรับเด็กที่เป็นกลางทางเพศนั้นเป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการช่วยตัดวงจรนี้ และช่วยให้ลูกน้อยของเราสามารถเจริญงอกงามได้โดยไม่ต้องแบกภาระทางประวัติศาสตร์ว่าการเป็นชายหรือหญิงมีความหมายอย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าที่เป็นกลางทางเพศมักจะผสมผสานเสื้อผ้าสไตล์มินิมอลที่ไม่มีลวดลาย มีสี สไตล์ และโทนสีที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

เสื้อผ้าเหล่านี้มักมีความมินิมัล มีสีสันตามธรรมชาติ

ประวัติศาสตร์ของสีชมพูและสีฟ้า

อันที่จริงแล้ว ไม่มีสีใดโดยเนื้อแท้ที่เป็ยของผู้ชายหรือผู้หญิง และ “สีชมพูทั้งหมดนั้นมีไว้สำหรับเด็กผู้หญิง สีน้ำเงินมีไว้สำหรับเด็กผู้ชาย” ประเพณีนี้ค่อนข้างใหม่ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมแฟชั่นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1800 ทารกแรกเกิดทุกคนมักแต่งกายด้วยชุดที่เป็นกลางทางเพศ และเฉดสีพาสเทลที่คุ้นเคยและลวดลายหรูหราเหล่านั้นก็กลายเป็นที่นิยมในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ศตวรรษที่ 20 เท่านั้น แตนี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจ เพราะจนถึงปี 1940 สีชมพูถูกมองว่าเป็นสีที่ผู้ชายมากกว่า

ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในทศวรรษที่ 1960 การแบ่งแยกทางเพศที่เข้มงวดในแฟชั่นได้ผ่อนคลายลงบ้าง แต่การแบ่งแยกเหล่านี้กลับคืนมาด้วยการแก้แค้นในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อพ่อแม่สามารถทราบเพศของทารกได้ก่อนเกิด สิ่งสำคัญที่สุดคือแนวโน้มสีของ “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” เกิดขึ้น และล่องลอยไปเหมือนลม สีสันหรือลวดลายเฉพาะสำหรับเด็กไม่ได้เป็นส่วนที่แท้จริงของวัยเด็กแม้แต่น้อย

สีชมพูก็เป็นสีสำหรับทุก ๆ คน

เมื่อคุณก้าวออกจากขอบเขตของความคลั่งไคล้แฟชั่นสมัยใหม่เฉพาะเด็ก และเริ่มทดลองกับเสรีภาพทางแฟชั่นที่เป็นกลางทางเพศ คุณอาจจะแปลกใจด้วยซ้ำที่พบว่าลูกน้อยของคุณเป็นรมินิมัลลิสต์ที่มีความซับซ้อน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลูกของคุณเปิดตู้เสื้อผ้า เขาจะรู้สึกสงบ เสื้อผ้าของเขาไม่รบกวนจิตใจอีกต่อไป แต่มันกลับให้ผืนผ้าใบว่างเปล่าสำหรับจินตนาการของเขา และความรู้สึกที่มีต่อตัวเองที่พร้อมจะพุ่งทะยานขึ้นไป

การเลือกเสื้อผ้าที่เป็นกลางทางเพศสำหรับลูกน้อยของคุณเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็ก ผู้ปกครอง และโลกใบนี้ ด้วยวิธีการที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดเหล่านี้

ให้พวกเขาทดลอง เล่นสนุกกับเสื้อผ้าเพื่อสะท้อนตัวตน

แฟชั่นที่เป็นกลางทางเพศสามารถเป็นวิถีชีวิตที่เป็นอิสระและดำเนินไปต่อเนื่องได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการตัดสินใจที่เคร่งครัดสำหรับคุณหรือบุตรหลานของคุณ จำไว้ว่าประเด็นที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวคือการแสดงออกถึงตัวตนของเด็กโดยไม่มีกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัด

ดังนั้น หากลูก ๆ ของคุณเริ่มขอเสื้อผ้าแบบผู้ชายหรือผู้หญิงตามแบบแผน ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่คุณปล่อยให้พวกเขาเป็นผู้เลือก อาจมีบางครั้งที่บุตรหลานของคุณต้องเผชิญการทดสอบจากทัศนคติแบบเหมารวมทางเพศและความคิดสุดโต่ง ในขณะที่พวกเขาทดลองเสื้อผ้าต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกของตัวเอง ในฐานะพ่อแม่ บทบาทที่สำคัญที่สุดที่คุณลงเล่นคือการมอบพื้นฐานให้พวกเขา จากนั้นก็สุดแต่เขาจะตัดสินใจกับการเดินทางทั้งหมดของตัวเอง

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th