6 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับการ “เรียนภาษาที่ต่างประเทศ”
วันก่อนเราได้นำเสนอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการ “เรียนภาษาที่ต่างประเทศ” กันไปแล้ว สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความสนใจอยากให้ลูกได้ฝึกภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาในช่วงปิดเทอม ในวันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้เป็นหลักในการพิจารณา หากอยากส่งลูกรักไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศในช่วงปิดทอมกันค่ะ
อย่างที่เรทราบกันดีว่าการใช้งานภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคปัจจุบัน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนจึงมีความต้องการที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนซัมเมอร์ภาษาช่วงปิดเทอมกันมากขึ้น เพราะการไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเท่านั้น หากแต่พวกเขาจะยังได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ ได้ฝึกฝนการใช้ชีวิตและพัฒนาระเบียบวินัยของตนเอง ซึ่งในช่วงหลังมานี้ก็มีบริษัทแนะแนวการศึกษาหรือตัวแทนที่นำเสนอซัมเมอร์คอร์สหรือคอร์สเรียนภาษาในต่างประเทศกันมากขึ้น โดยมีการแข่งขันกันทำราคา ดังนั้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะเลือกคอร์สภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศให้กับเด็ก ๆ ของตนเอง ก็จะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายด้านด้วยกัน เพื่อที่จะได้เลือกโปรแกรมหรือคอร์สที่เหมาะสมกับบุตรหลานอย่างที่สุด
1. ประเทศหรือเมือง
สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคิดถึงเมื่อมีความต้องการที่จะให้ลูกไปเรียนซัมเมอร์ภาษาที่ต่างประเทศนั่นก็คือ จะเลือกประเทศไหนดี ในความจริงแล้วแต่ละประเทศก็มีความน่าสนใจ มีความเหมาะสมสำหรับอายุของเด็กที่แตกต่างกัน อย่างเช่น
- ประเทศอังกฤษ ที่เป็นประเทศเจ้าของภาษา อีกทั้งยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลากหลาย และมีฟุตบอลที่เปรียบเสมือนกีฬาประจำชาติ แต่ในแต่ละเมืองสำคัญกลับมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ลอนดอนมีความเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนหลากหลายในวิถีชีวิตที่เร่งรีบ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย จึงเป็นเมืองที่เหมาะสมสำหรับเด็กในช่วงวัยรุ่นขึ้นไป ส่วนเมืองอย่างบอร์นมัธที่เป็นเมืองชายทะเล ก็จะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบกว่า จึงเหมาะกับเด็กเล็กหรือเด็กที่ยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน
- ประเทศอเมริกา ส่วนมากบริษัทแนะแนวหรือตัวแทนจัดโปรแกรมซัมเมอร์มักจะจัดให้มีการเรียนในหัวเมืองใหญ่อยู่แล้ว เช่น ซานฟรานซิสโก บอสตัน ซานดิเอโก จึงจะเหมาะกับเด็กที่โตแล้วสักหน่อยมากกว่า เพราะมีกิจกรรมที่เข้ากับชีวิตของเด็กโตแล้วมากกว่าเด็กเล็ก
2. โรงเรียนหรือสถาบันภาษา
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือโรงเรียนหรือสถาบันสอนภาษาที่มีคุณภาพ เนื่องจากโรงเรียนหรือสถาบันเหล่านี้เป็นผู้ที่จะกำหนดคุณภาพของหลักสูตร คุณภาพของการเรียนการสอน รวมไปถึงคุณภาพของครอบครัวท้องถิ่น (Host family) ที่ทางโรงเรียนจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดหาให้เด็กด้วย ซึ่งการค้นหาข้อมูลของโรงเรียนนั้นก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เข้าไปดูในเว็บไซต์ของทางโรงเรียน หรือหากอยากได้ข้อมูลการรีวิวจากอดีตนักเรียน ก็สามารถสืบค้นใน Facebook ได้ หากทางโรงเรียนมีเพจ ก็จะได้เห็นการรีวิวหรือคอมเมนท์ต่าง ๆ จากผู้เรียนตัวจริง เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการฟังคำโฆษณาข้างเดียวจากบริษัทแนะแนวการศึกษา
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ โรงเรียนหรือสถาบันภาษานั้น ๆ ควรจะได้รับการรับรองจากองค์กรที่ไว้ใจได้ด้วย เช่น ในประเทศอังกฤษ โรงเรียนที่ดีมีมาตรฐานมักจะได้รับการรับรองจาก British Council
3. โปรแกรมการเรียนและทัศนศึกษา
โปรแกรมการเรียนแบบซัมเมอร์คอร์สมักจะเป็นลักษณะที่จัดให้เรียนภาษาในช่วงเช้า ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นกิจกรรมทัศนศึกษา ที่ให้เด็ก ๆ ได้ออกไปท่องเที่ยวในเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยในบางบริษัทแนะแนวจะมีการจัดโปรแกรมพิเศษเพิ่มขึ้นในช่วงเสาร์อาทิตย์ ที่อาจจะมีการเดินทางไปค้างนอกเมือง ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะมีผลต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องพิจารณาว่าเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจจริงหรือไม่ ลูกจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการไปท่องเที่ยวตามโปรแกรมพิเศษเหล่านั้น หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีความต้องการจะเน้นเรื่องการท่องเที่ยว การเลือกสถาบันภาษาที่มุ่งเน้นในการเข้าคลาสภาษาแต่เพียงอย่างเดียวก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะหากให้เด็ก ๆ พักอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ ทางครอบครัวท้องถิ่นก็ย่อมจะพาเด็ก ๆ ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างอยู่แล้วตามสมควร
4. ประเภทของที่พัก
หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้สัมผัสกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง หรือได้ฝึกภาษาตลอดเวลานอกจากการเข้าชั้นเรียน การอยู่กับครอบครัวชาวท้องถิ่นหรือโฮสต์แฟมิลี่นั้นจะเป็นทางเลือกที่ดีมาก แต่กับเด็ก ๆ ที่มีอายุน้อยการพักในหอพักประจำของทางโรงเรียนก็อาจจะสร้างความอุ่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่มากกว่า เพราะมักจะมีตัวแทนที่เป็นคนไทยคอยทำหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ ในโครงการให้ตลอดเวลา
5. บริษัทตัวแทนและผู้ดูแลกลุ่มนักเรียน
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกบริษัทแนะแนวหรือตัวแทนจัดโปรแกรมซัมเมอร์คอร์ส การเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือนั้นสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของทางบริษัท แต่ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรเดินทางไปพบปะพูดคุยโดยตรงที่บริษัทเลยจะเป็นการดีกว่า และหากเป็นไปได้ ควรได้พูดคุยกับผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลกลุ่มนักเรียนโดยตรง เพื่อดูลักษณะท่าทางและนำมาพิจารณาประกอบกับความน่าเชื่อถือของบริษัท
นอกจากนี้ข้อมูลที่จำเป็นต้องสอบถามก็คืออัตราส่วนระหว่างนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการต่อเจ้าหน้าที่ดูแลเด็ก ที่ไม่ควรมากกว่า 18:1 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอัตราจะอยู่ที่ 15:1 และในบางโปรแกรมก็อาจจะใช้เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนท้องถิ่นมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ด้วย
6. ราคา
ปัจจัยข้อแรกที่พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งนิยมใช้พิจารณาก็คือราคา จริง ๆ แล้วการตัดสินใจจะเลือกซัมเมอร์โปรแกรมให้กับเด็ก ๆ โดยใช้ราคาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาถือเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงพอสมควร เพราะการที่ปล่อยให้ลูกไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ หากต้องไปกับโปรแกรมที่ไม่มีคุณภาพในราคาที่ถูก ก็อาจจะทำให้เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีได้ หรืออย่างร้ายก็อาจได้เรียนกับสถาบันภาษาที่ไม่ได้รับการรับรองอย่างดีจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทำราคาให้ถูกเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดก็อาจนำมาซึ่งปัญหาของค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ทางเด็ก ๆ จะต้องเป็นผู้จ่ายด้วยตัวเอง เช่น ค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารในช่วงวันหยุด หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปและกลับโรงเรียน
สรุปแล้วการจะพิจารณาเลือกซัมเมอร์คอร์สเรียนภาษาที่ต่างประเทศให้ลูกนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรจะเช็คจากปัจจัยต่าง ๆ ตามที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น จากนั้นให้นำข้อมูลมาพิจารณาประกอบกับราคา ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกโปรแกรมที่ตรงใจทั้งคุณพ่อคุณแม่เองและลูกค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th