เมื่อลูก “เลือดกำเดาไหล” พ่อแม่จะช่วยยังไงดีนะ
เรื่องสุขภาพของลูกเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่สามารถห่วงไปได้ร้อยแปด อาการหนึ่งที่เด็กๆหลายคนอาจจะเคยเป็นก็คือ “เลือดกำเดาไหล” บางทีนั่งเล่นด้วยกันอยู่ดีๆ เลือดก็ไหลหยดแหมะใส่เสื้อซะอย่างนั้น ทำไมเลือดกำเดาถึงไหล แล้วเรามีวิธีหยุดเลือดอย่างไรถึงจะถูกต้อง Motherhood มีเคล็ดลับมาบอกให้คุณพ่อคุณแม่จำเอาวิธีไปใช้กันค่ะ
เลือดกำเดา คืออะไร?
เลือดกำเดา คือเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงจมูก ไม่ว่าจะเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง เกิดจากเส้นเลือดภายในโพรงจมูกแตก สาเหตุอาจเป็นเพราะเส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะบางแตกง่ายด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น อากาศที่เปลี่ยน ร้อนเกินไป หนาวเกินไป หรือแห้งเกินไป สั่งน้ำมูกแรงเกินไป ผลข้างเคียงที่มาจากอาการภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง หรือเกิดจากการแคะ แกะ เกาในโพรงจมูกอย่างรุนแรง หรือเกิดอุบัติเหตุในบริเวณที่ใกล้เคียงกับจมูก
ลักษณะของเลือดกำเดาไหล
- มีเลือดไหลออกจากรูจมูก อาจไหลออกมาเพียงข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง
- เลือดอาจไหลออกมาเป็นปริมาณมากหรือปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นเลือดที่แตก
- ลือดจะไหลในระยะเวลาสั้นๆ แล้วหยุดไหลไปเองภายในเวลาไม่กี่นาที อาจใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีกว่าจะหยุดไหล หรืออาจมากกว่านั้น แล้วแต่กรณี
เลือดกำเดา มีกี่ชนิด?
เลือดกำเดาที่ไหลออกมาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะการเกิด คือ
- เลือดที่ออกมาจากโพรงจมูกส่วนหน้า มักเกิดกับคนทั่วไป เกิดจากเส้นเลือดบริเวณจมูกส่วนหน้าแตกทำให้มีเลือดไหลออกมา มักไม่ก่อให้เกิดอันตราย ผู้ป่วยสามารถรักษาอาการและทำให้เลือดหยุดไหลได้ด้วยตนเอง
- เลือดที่ออกมาจากโพรงจมูกส่วนหลัง เกิดจากเส้นเลือดบริเวณจมูกส่วนหลังหรือส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในโพรงจมูกแตก ทำให้มีเลือดไหลออกมาและไหลเข้าไปในลำคอด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตราย และอาจเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยโรคที่ร้ายแรงได้ พบได้มากในผู้ป่วยสูงวัย ควรได้รับการรักษาจากแพทย์
สาเหตุของเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากเส้นเลือดฝอยหรือเส้นเลือดใหญ่ภายในจมูกแตก ซึ่งเลือดกำเดาไหลทั่วไป มีสาเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
- ล้วงหรือแคะจมูก
- จามบ่อยๆ
- สั่งน้ำมูกแรงเกินไป
- จมูกได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง หรือการประสบอุบัติเหตุ
- อุณหภูมิและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในอากาศหนาวหรืออากาศแห้ง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นเด็กที่มีอายุอยู่ในช่วง 2-10 ปี และผู้สูงวัยที่มีอายุอยู่ในช่วง 50-80 ปี
- การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้โพรงจมูกแห้ง อย่างกลุ่มยารักษาโรคภูมิแพ้ ยารักษาไข้หวัด รวมทั้งยารักษาไซนัสอักเสบ เช่น ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) และยาแก้คัดจมูก (Decongestants)
- การใช้ยาแอสไพรินในปริมาณมาก
หากมีเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยรุนแรงหรือความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีโอกาสพบได้ไม่บ่อยนัก เช่น
- มีสิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ภายในจมูก
- ปฏิกิริยาแพ้ต่อสารเคมี
- โรคภูมิแพ้ หรือปฏิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลย (Haemophilia) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของร่างกายส่งผลทำให้เลือดไม่แข็งตัว
- ภาวะหลอดหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis)
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- การเกิดมะเร็งในโพรงจมูก
เลือดกำเดาไหลแบบไหนถึงเป็นอันตราย?
หากพบว่าลูกมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
- เลือดกำเดาไหลที่ด้านหลังโพรงจมูกจนไหลเข้าไปในลำคอ
- เลือดกำเดาไหลไม่หยุดแม้ผ่านไปมากกว่า 20 นาที
- เลือดกำเดาไหลซ้ำอีกหลายครั้ง
- มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด
- กระอักเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
- มีผื่นขึ้นตามตัว
- มีไข้สูง (มากกว่า 5 องศาเซลเซียส)
วิธีรักษาอาการเลือดกำเดาไหลด้วยตัวเอง
โดยปกติ เลือดกำเดาที่ไหลจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตราย ร่างกายจะมีกลไกทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลไปเอง แต่พ่อแม่สามารถดูแลรักษาอาการให้ลูกได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ ซึ่งสามารถทำได้โดย
การห้ามเลือด
- ให้ลูกนั่งอยู่กับที่นิ่งๆ เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบรูจมูก แล้วหายใจทางปากประมาณ 10 นาที หากผ่านไป 10 นาทีแล้วให้เลิกบีบจมูก หากเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ให้ทำตามขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง
- หากมีเลือดที่ไหลลงในปากหรือลำคอ ให้คายเลือดออกมา อย่ากลืนเลือดลงไป รวมถึงต้องไม่นอนราบ และไม่เงยหน้าขึ้นในขณะที่เลือดกำเดาไหล เพราะอาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะแล้วทำให้เกิดการระคายเคืองที่อาจทำให้เกิดอาการป่วยอื่นตามมา เช่น การอาเจียน
- อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งวางไว้บริเวณดั้งจมูกของลูก
- ไม่พ่นจมูก สั่งน้ำมูก หรือล้วงแคะจมูก เพราะจะทำให้อาการแย่ลง
หากพยายามห้ามเลือดกำเดาด้วยตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผลและเลือดกำเดายังคงไหลอยู่อย่างต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาต่อไป
การดูแลตัวเองหลังเลือดหยุดไหล
- พยายามไม่พ่นจมูก สั่งน้ำมูก หรือจามเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังเลือดกำเดาหยุดไหล
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น
การป้องกันการเกิดเลือดกำเดาไหล
- ไม่ให้ลูกสั่งน้ำมูกหรือล้วงแคะจมูกแรงๆ และควรตัดเล็บลูกให้สั้นอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการเผชิญกับอากาศแห้งและหนาวเย็น หากต้องอยู่ในอากาศแห้งและหนาวเย็น ให้ใช้ปิโตรเลียม (Petroleum Jelly) ทา เพื่อไม่ให้ภายในโพรงจมูกของลูกแห้ง
- หากลูกเลือดกำเดาไหลเพราะรับประทานยา ให้ปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณและการใช้ยานั้นอย่างเหมาะสม เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านฮิสตามีน และยาแก้คัดจมูก
- หากเลือดกำเดาไหลเกิดจากปัจจัยทางการแพทย์ เช่น เป็นภูมิแพ้จมูก ป่วยไซนัสเรื้อรัง หรือป่วยด้วยโรคตับ ให้ปฏิบัติตามกระบวนการรักษาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
- ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นและกระทบกระเทือนต่อจมูก เช่น สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะให้ลูกเสมอเมื่อเขาต้องเล่นกีฬาหรือต้องทำกิจกรรมที่อาจได้รับการกระทบกระเทือน
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th