Site icon Motherhood.co.th Blog

โรคคางทูม อาการ สาเหตุ และวิธีรักษา

โรคคางทูมในเด็ก

เด็กที่เป็นคางทูมจะมีอาการปวดที่ด้านข้างของใบหน้า

โรคคางทูม อาการ สาเหตุ และวิธีรักษา

หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีไข้ และมีอาการปวดบวมช่วงบริเวณหน้าใบหู ก็น่าสงสัยว่าจะเป็น “โรคคางทูม” แต่ก็ยังสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ส่วนขั้นตอนของการรักษาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มีโรคที่สามารถแทรกซ้อนได้อีกหรือไม่ บทความนี้จะไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคคางทูมให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบกันค่ะ

ทำความรู้จักโรคคางทูม

คางทูม (Mumps/Epidemic Parotitis) เป็นโรคติดต่อเฉียบพลันทางระบบทางเดินหายใจ ที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus และติดต่อจากคนสู่คน โดยการสัมผัสละอองน้ำลายของผู้ที่ติดเชื้อผ่านการไอหรือจาม ไวรัสจะเคลื่อนจากระบบทางเดินหายใจไปยังต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณข้างหู ที่เรียกว่า “ต่อมพาโรติด” (Parotid Glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายและข้างขวา โดยโรคอาจเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายเพียงข้างใดข้างหนึ่งหรือเกิดทั้งสองข้างก็ได้ นอกจากนั้นยังอาจเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายอื่นได้ เช่น ต่อมน้ำลายใต้คาง (Submandibular Glands) และต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual Glands) แต่ก็พบได้น้อยกว่าต่อมน้ำลายข้างหูมาก และเมื่อเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายอื่นๆ แล้วก็มักจะเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมน้ำลายข้างหูด้วย เมื่อต่อมนี้เกิดการอักเสบจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและบวมแดง นอกจากนี้ ถ้าไวรัสแพร่กระจายเข้าสู่น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังแล้ว ก็อาจจะแพร่ไปที่อื่นในร่างกายส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ภาวะแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์

คางทูมสามารถเป็นได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย

คางทูมเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กอายุ 6-10 ปี โดยเด็กที่มีอายุ 5-9 ปี จะมีอัตราการป่วยสูงที่สุด พบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายใกล้เคียงกัน หรือกลุ่มผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีน มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้แพร่กระจายสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน และในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน แต่อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว

อาการของโรค

เด็กที่ป่วยจะมีอาการผิดปกติที่สังเกตได้คือ ต่อมน้ำลายบริเวณข้างหูเจ็บและบวมอย่างเห็นได้ชัด และปรากฏอาการเบื้องต้นของโรคดังต่อไปนี้

ผู้ป่วยส่วนมากจะแพร่เชื้อก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลายบริเวณข้างหู 2-3 วัน เชื้อไวรัสนี้จะเคลื่อนจากระบบทางเดินหายใจตั้งแต่จมูก ปาก ลำคอ ไปยังต่อมน้ำลายบริเวณข้างหูข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง อาการปวดและบวมส่วนใหญ่จะหายไปได้เองภายใน 4-8 วัน โดยปกติแล้วโรคนี้จะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 16-18 วัน แต่ในบางรายอาจมีระยะฟักตัวนานถึง 25 วัน

มีอาการเพียงสัปดาห์เดียวก็สามารถหายบวมได้

สาเหตุของโรค

สาเหตุของโรคเกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (Mumps) เป็นไวรัสที่อยู่ในอากาศ สามารถแพร่กระจายได้โดยการไอ จาม เหมือนโรคหวัด หรือการสัมผัสละอองของเหลว ทั้งน้ำลายและน้ำมูกจากผู้ป่วยที่อาจแฝงอยู่ตามวัตถุต่างๆรอบตัว เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ หรือแม้แต่การใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งประมาณ 30% ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูมจะไม่แสดงอาการของโรคคางทูม แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่

การวินิจฉัยโรค

ปกติแล้วแพทย์มักจะรักษาตามอาการหากผู้ป่วยยังไม่ได้เป็นอะไรรุนแรงหรือพบอาการแทรกซ้อน โดยแพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

การรักษาโรค

การรักษาโรคคางทูมในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่สามารถทำได้โดยบรรเทาอาการและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

ทั้งนี้ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน แต่เมื่อรักษาตามอาการแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงขึ้นได้ โรคนี้เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เป็นซ้ำอีก เพราะเมื่อเป็นแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานโรคนี้ได้ตลอดชีวิต ไม่กลับมาติดเชื้อได้อีก ในบางรายซึ่งเป็นส่วนน้อยอาจติดเชื้อเป็นซ้ำได้อีก แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่ค่อยเกิดภาวะแทรกซ้อน

พ่อแม่ห้ามให้เด็กกินยาแอสไพรินเพื่อบรรเทาอาการเด็ดขาด

ภาวะแทรกซ้อนของโรค

สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง เช่น

การป้องกันโรค

การป้องกันโรคทำได้โดยการฉีดวัคซีน MMR (Measles-Mumps-Rubella Vaccine) เป็นการฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนัง ขนาด 0.5 มิลลิลิตร บริเวณกึ่งกลางต้นขาด้านหน้าในเด็กหรือต้นแขนในผู้ใหญ่ ซึ่งจะสามารถป้องกันได้ถึง 95% การรับวัคซีนจะเกิดขึ้นทั้งหมด 2 ครั้ง คือ

ในปี พ.ศ. 2556 กระทรวงสาธารณะสุข ประเทศไทย มีการแนะนำให้เปลี่ยนการฉีดวัคซีน MMR ครั้งที่ 2 จากเด็กอายุ 4-6 ปี เลื่อนเข้ามาเป็นอายุ 2.5 ปี เพื่อเร่งการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กที่ได้รับวัคซีนครั้งแรกในอายุ 9 เดือนแล้วไม่ได้ผล

ต้องแยกเด็กที่ป่วยออกจากคนที่ไม่ป่วย ป้องกันการติดเชื้อ

คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกๆลดการแพร่กระจายของโรคคางทูมได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

เขียนเสือให้คางทูมกลัว

สมัยก่อนเวลาเด็กๆเป็นคางทูม พ่อแม่บางบ้านจะพาเด็กไปหาหมอหรือซินแส เพื่อให้เขียนตัวอักษรจีนคำว่าเสือหรือเขียนเป็นรูปเสือไว้ตรงแก้มเด็กข้างที่เป็น ในที่สุดเด็กก็หายเป็นปกติ หลายๆคนจึงปักใจเชื่อว่าต้องเขียนเสือไว้ คางทูมถึงจะกลัว หากรักษาตัวอย่างดี ไม่ปล่อยให้เกิดอาการแทรกซ้อน คางทูมก็จะมีลักษณะเหมือนกับหวัด คือเป็นเองหายเองได้โดยไม่ต้องพาไปให้ใครเขียนเสือ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th