โรงเรียนทางเลือก การศึกษาแนวใหม่สำหรับเด็กยุคนี้
คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกับคำว่า “โรงเรียนทางเลือก” มาบ้าง แต่อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าโรงเรียนทางเลือกมีอะไรที่แตกต่างจากโรงเรียนปกติ มีหลักสูตรอะไรที่โดดเด่นกว่า และโรงเรียนทางเลือกจะเหมาะกับลูกของเราหรือไม่ วันนี้ Motherhood จะพาไปทำความรู้จักกับโรงเรียนทางเลือก รวมทั้งรายละเอียดค่าแรกเข้าและค่าเทอมต่อปีด้วย เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่คุณพ่อคุณแม่จะใช้เลือกโรงเรียนให้ลูกค่ะ
โรงเรียนทางเลือกคืออะไร
โรงเรียนทางเลือกคือโรงเรียนที่มีแนวทางการเรียนการสอนต่างออกไปจากโรงเรียนกระแสหลัก ระบบการศึกษาของโรงเรียนทางเลือกจะมีความยืนหยุ่นมากกว่า ทั้งในด้านการเรียนการสอน การประเมินผล เป็นการเรียนการสอนที่ออกแบบมาเฉพาะตัว เพื่อมุ้งเน้นให้เหมาะสมกับผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม โดยจะไม่เน้นการท่องจำหรือนั่งคัดลอกตามกระดานมากนัก หากแต่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน และให้เขาเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หรืออาจเป็นโรงเรียนที่ตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก โดยจะมีการปรับการสอนและแนวคิดเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเด็กที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น เด็กมีปัญหาด้านพฤติกรรม เด็กที่มีแนวโน้มเลิกเรียนกลางคัน หรือเด็กอัจฉริยะ เป็นต้น
แนวทางการสอนที่หลากหลายของโรงเรียนทางเลือก
ด้วยความที่โรงเรียนทางเลือกมีแนวทางการสอนที่หลายหลายและเป็นเอกลักษณ์ แนวทางการสอนเลยจะแตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียน ขึ้นอยู่กับว่าปรัชญาของทางโรงเรียนจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ผลสัมฤทธิ์อย่างไรจากการเรียน หรือว่ามุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนไปในทิศทางไหน
- แนวการสอนแบบมอนเตสซอรี (Montessori)
แนวการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในช่วงวัยอนุบาลโดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง เด็ก ๆ จะได้ฝึกทักษะต่าง ๆ อย่างอิสระผ่านกลไกประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เรียนรู้ผ่านการเล่นกับเพื่อน ทำให้เด็กเรียนรู้ความอดทนอดกลั้น มีความรับผิดชอบ รักตัวเอง เข้าสังคมได้ดี เห็นคุณค่าและเคารพในความแตกต่างของผู้อื่น ตัดสินใจเองได้ เป็นเด็กที่โตตามธรรมชาติของตัวเอง และมีประสบการณ์มากพอที่จะก้าวสู่วัยประถม พร้อมที่จะรับความรู้ด้านวิชาการต่อไป
- แนวการสอนแบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia)
แนวการสอนที่เหมาะอย่างยิ่งกับเด็กที่โตมากับเทคโนโลยีในยุคนี้ หลักสูตรจะเน้นทักษะด้านกระบวนการทางความคิด ส่งเสริมให้เด็ก ๆ รู้จักคัดกรองความรู้ มีการวางแผน การคาดคะเนคำตอบ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดยหัวข้อกิจกรรมในห้องเรียนจะเกิดจากสิ่งที่เด็กต้องการเรียนรู้ ซึ่งไม่มีการกำหนดระยะเวลาแน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กล้วน ๆ โดยที่ผู้ปกครองสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กมีความมั่นใจ เห็นคุณค่าในตัวเอง และรู้จักเคารพผู้อื่น
- แนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf)
แนวการสอนที่ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา โดยมีศิลปะเป็นตัวเชื่อม เพื่อให้เด็กได้มีพัฒนาการโดยการเรียนรู้และลงมือทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น งานประดิษฐ์ การทำอาหาร ให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการที่กว่าจะมาเป็นอาหาร 1 จานต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง ทำให้เด็กรู้จักคิด เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา มีโอกาสได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นตามความสนใจของตนเองอย่างแท้จริง
- แนวการสอนวิถีพุทธ (Buddhist School)
แนวการสอนที่ยึดหลักตามพระพุทธศาสนา ภายในโรงเรียนมีธรรมชาติและบรรยากาศที่สงบ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิถีชาวพุทธ รู้จักสวดมนนต์ นั่งสมาธิ เพื่อการเจริญสติปัญญา ทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความเข้าอกเข้าใจ มีธรรมะคอยกล่อมเกลาจิตใจ ทำให้เด็กสามารถมองเห็นและรับมือกับปัญหาได้เป็นอย่างดี และเติบโตอย่างมีอารมณ์ที่มั่นคง
- แนวการสอนแบบนีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education)
แนวการสอนที่มุ้งเน้นสร้างเด็กที่มีความฉลาด จิตใจดี มีร่างกายที่แข็งแรง เน้นกิจกรรมในการสร้างเซลล์สมองที่พัฒนาไปตามวัยได้อย่างเต็มที่ ทำให้เด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การไปทัศนศึกษา เป็นอาสาสมัคร เลี้ยงสัตว์ หรือปลูกผัก
- แนวการสอนแบบโครงการ (Project Approach)
แนวการสอนที่ปลูกฝังให้เด็กรักการเรียนรู้ โดยให้เด็ก ๆ ได้แลกเปลี่ยนหัวข้อที่ตัวเองสนใจจะศึกษาร่วมกับกับเพื่อน ๆ โดยศึกษาแบบลงลึกในรายละเอียดของเรื่องนั้นอย่างละเอียด ทำให้เด็กเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียน รู้จักการสำรวจ การนำเสนอข้อมูล สามารถนำไปบูรณาการกับวิชาการแขนงต่าง ๆ ต่อไปได้
- แนวการสอนแบบไฮสโคป (High/Scope)
แนวการสอนที่เน้นให้เด็กมีการคิดแบบเชื่อมโยงความรู้ได้อย่างรวดเร็วและสมวัย โดยมuครูคอยกระตุ้นให้เด็กรู้จักการวางแผน ลงมือทำ และมีการทบทวน เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและสติปัญญา ทำให้เด็กมีพื้นฐานจิตใจที่มั่นคงแข็งแรงจากการที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
- แนวการสอนแบบพหุปัญญา (Multiple Intelligence)
แนวการสอนที่เชื่อว่าเด็กเล็กนั้นมีความฉลาดที่แตกต่างกันออกไปเฉพาะบุคคล โดยจะมีครูคอยจัดกิจกรรมเสริมปัญญาซึ่งมีทั้งหมด 9 ด้าน ได้แก่ ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ ความฉลาดด้านภาษา ความฉลาดด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ ความฉลาดด้านร่างกาย/การเคลื่อนไหว ความฉลาดด้านดนตรี ความฉลาดด้านการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ความฉลาดในการรู้จักและเข้าใจตัวเอง ความฉลาดทางด้านธรรมชาติ และความฉลาดในการคิดใคร่ครวญ เพื่อทำให้เด็กรู้จักจุดเด่นและจุดอ่อนของตัวเอง รวมถึงใช้ศักยภาพของตนเองให้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตัวเอง มีความสุข และทำให้เด็กสามารถตั้งเป้าหมายในอนาคตได้ด้วยตัวเอง
- แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach)
แนวการสอนที่เน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นการสื่อสารตามธรรมชาติ สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ผ่านภาพ เสียง การพูด และตัวอักษร ทำให้เด็กได้ใช้ทักษะทางด้านภาษาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เด็กจะมีการสื่อสารที่แข็งแรงจนสามารถอ่านออกเขียนได้ มีความมั่นใจในตัวเอง และมีทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นสูง
แนวทางการสอนที่มักพบในโรงเรียนทางเลือกยังมีแบบอื่น ๆ อีกมากที่แต่ละโรงเรียนเล็งเห็นว่าเข้ากับปรัชญาและเป้าหมายของทางโรงเรียน จากจุดนี้เราจะเห็นได้ว่าแนวทางการสอนของโรงเรียนทางเลือกแต่ละที่ก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเอง ในขณะที่ก็มีจุดอ่อนที่พ่อแม่ควรจะเป็นผู้เสริมเติมให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้พัฒนาอย่างรอบด้าน
รูปแบบของโรงเรียนทางเลือก
ถึงแม้จะมีแนวทางการสอนและจุดมุ่งหมายแบบเฉพาะตัว แต่โรงเรียนทางเลือกก็ยังต้องตั้งอยู่บนหลักสูตรแกนกลางที่กำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ และต้องจัดตั้งขึ้นอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการกำหนดรูปแบบของโรงเรียนทางเลือกไว้ 5 รูปแบบคือ
- โรงเรียนในความกำกับของรัฐ แต่เน้นความเป็นอิสระและคล่องตัว มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติเฉพาะของตัวเอง
- โรงเรียนวิถีพุทธ ที่เน้นนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
- โรงเรียนสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้เข้ารับการประเมินความสามารถพิเศษว่าตนเองมีในด้านใดบ้าง
- โรงเรียนสองภาษา เป็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อหลักในการเรียนการสอน
- โรงเรียนต้นแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นโรงเรียนที่ใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ผู้เรียนจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้
ครูมีบทบาทสำคัญมากในโรงเรียนทางเลือก
ด้วยความที่โรงเรียนประเภทนี้มักเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน อีกทั้งยังมีการประยุกต์แนวทางการเรียนการสอนในรูปแบบที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลักค่อนข้างมาก ครูจึงมีบทบาทที่สำคัญมากภายในโรงเรียน ในแต่ละชั้นเรียนมีจำนวนนักเรียนน้อย สามารถมีครูคอยประกบนักเรียนได้อย่างทั่วถึง คนที่เป็นครูที่นี่จึงจะต้องถูกเลือกเฟ้นมาอย่างดี มีความเข้าใจในตัวเด็ก มีจิตวิทยาที่จะจัดการกับเด็ก เพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษาและคอยแก้ไขปัญหาให้แก่เด็กที่มีความแตกต่างหลากหลายภายในชั้นเรียน
โรงเรียนทางเลือกในกรุงเทพฯและปริมณฑล
ข้อดีของโรงเรียนทางเลือกอาจจะมีมากมาย แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่จะเลือกโรงเรียนให้ลูกก็คือคุณพ่อคุณแม่นี่ละค่ะ การจะพิจารณาเลือกโรงเรียนก็ใช่ว่าจะเน้นแต่การพัฒนาศักยภาพของลูกเท่านั้น หากแต่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม การเดินทาง ค่าใช้จ่าย และความพร้อมของลูกเป็นสำคัญ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th