ทำอย่างไรเมื่อลูกซนจน “กระดูกหัก”
เด็ก ๆ บางคนก็ซุกซนจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง สถานเบาหน่อยก็ได้รอยฟกช้ำดำเขียว แต่บางทีอาจจะรุนแรงถึงขั้น “กระดูกหัก” ได้เลยทีเดียว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จำต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราควรเตรียมตัวที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อที่จะช่วยลดความกังวลและป้องกันผลกระทบร้ายแรงจากการกระดูกหักที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกรักด้วย จะทำได้อย่างไรนั้น มาติดตามกันค่ะ
จะรู้ได้อย่างไรเมื่อลูกกระดูกหัก
เมื่อลูกได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นกระดูกแตกหรือหัก เขาอาจจะไม่สามารถบอกถึงอาการผิดปกติที่กำลังมีขึ้นในตัวเขาได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังพูดได้ไม่มาก คุณพ่อคุณแม่ที่มีความกังวลในเรื่องนี้จะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของลูกที่แสดงออกในเวลาที่มีกระดูกแตกหรือหักจากอุบัติเหตุได้ ดังนี้
- รู้สึกเจ็บเมื่อมีคนมาสัมผัสหรือแตะโดน หากเป็นเด็กเล็กก็จะยิ่งร้องงอแงมากกว่าปกติ
- มีอาการปวด บวมแดง ฟกช้ำ รอยห้อเลือด หรือสีผิวบริเวณนั้นดูเปลี่ยนไป
- รู้สึกชาบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะเส้นประสาทใกล้บริเวณกระดูกหักได้รับความเสียหาย
- กระดูกบิดเบี้ยว ผิดรูปไปจากเดิม หรือโผล่ออกมาจากผิวหนัง
- เกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บของกระดูกขณะเกิดอุบัติเหตุ
อาการข้างต้นเป็นสัญญาณที่มักพบได้เมื่อมีกระดูกหัก หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกมีอาการก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะในบางครั้งก็ยากที่จะสังเกตอาการได้ด้วยตาเปล่าถ้ากระดูกไม่ถึงกับหักไปเลย อาจจะแค่ร้าวเลยมีอาการบ่งบอกไม่หนักมาก แต่มันจะผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายชของลูกเมื่อเขาโตขึ้น หากเขาไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นเมื่อลูกประสบอุบัติเหตุมาครั้งใด คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบสัญญาณของอาการกระดูกหักอย่างสม่ำเสมอ
กระดูกหักมีกี่ประเภท
ถึงแม้กระดูกของเด็กจะเป็นกระดูกที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้เพราะมีความยืดหยุ่นดีกว่าของผู้ใหญ่ แต่ก็ยังเป็นกระดูกอ่อนที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ทำให้มีความเปราะบางและหักได้ง่าย โดยทั่วไปแล้ว อาการกระดูกหักในเด็กแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- กระดูกเดาะ คือภาวะกระดูกหักเฉพาะด้านที่เกิดจากแรงปะทะเพียงด้านเดียว และอีกด้านโก่งออกไปตามแรงกด มีลักษณะเหมือนกิ่งไม้สดที่โดนหัก
- กระดูกหักแบบยู่หรือย่นด้วยแรงอัด คือภาวะที่กระดูกได้รับแรงอัดจนย่นเข้าหากัน แต่ไม่ได้เคลื่อนที่ออกจากกัน
- กระดูกโก่งงอโดยไม่มีรอยหัก คือภาวะที่กระดูกโก่งงอผิดรูปไปจากเดิมโดยไม่มีรอยหักหรือแตก มักพบได้ในวัยรุ่นมากกว่าเด็กเล็ก
- กระดูกหักบริเวณส่วนปลาย คือภาวะกระดูกหักออกจากกันเป็นสองท่อนที่แผ่นการเจริญเติบโตของกระดูก (Growth Plate) ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนบริเวณส่วนปลายหรือส่วนหัวทั้งสองข้างของชิ้นกระดูก ซึ่งมันจะยังเจริญเติบโตได้อีกตามวัยของเด็ก หากกระดูกส่วนนี้แตกหักและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้กระดูกส่วนนั้นเจริญเติบโตช้ากว่ากระดูกส่วนอื่นของร่างกาย
นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งอาการกระดูกหักได้อีกหลายแบบ เช่น
- แบ่งตามการเกิดบาดแผล – กระดูกหักแบบไม่มีแผล ผิวหนังภายนอกไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร กระดูกหักแบบมีแผล คือกระดูกแทงทะลุผิวหนังออกมา หรือมีแผลเชื่อมต่อถึงกระดูกที่หัก
- แบ่งตามรอยหักของกระดูก – กระดูกหักหรือร้าว ที่ไม่ได้เคลื่อนที่แยกจากกันเป็นสองท่อน กระดูกที่หักและเคลื่อนที่ไปจากเดิม
เมื่อลูกกระดูกหัก พ่อแม่ควรทำอย่างไร
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่คาดว่าลูกอาจจะกระดูกหัก ควรพาลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที ในระหว่างที่รอควรให้ลูกอยู่นิ่ง ๆ อย่าเคลื่อนไหวมาก และปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังต่อไปนี้
- นำน้ำแข็งห่อด้วยผ้าสะอาดไปประคบบริเวณที่คาดว่ามีกระดูกหัก และยกอวัยวะส่วนนั้นให้สูงเพื่อบรรเทาอาการปวดและบวม แต่ไม่ควรประคบน้ำแข็งหากเกิดขึ้นกับทารก เพราะความเย็นของน้ำแข็งอาจทำลายผิวหนังของเด็กได้
- ถ้าจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าของลูกออก อย่าถอดด้วยวิธีปกติเพราะจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ให้ใช้กรรไกรมาตัดหรือฉีกออก
- หากกระดูกหักที่ขาหรือแขนควรดามด้วยวัสดุที่แข็งแรง เช่น ไม้ ลังกระดาษ หรือหนังสือพิมพ์ม้วน โดยกะให้อุปกรณ์ที่ใช้ดามมีความยาวเลยบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และใช้ผ้าพันโดยรอบแต่อย่าพันจนแน่นเกินไป เพื่อลดการเคลื่อนไหวและบรรเทาปวด
- งดการให้รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือกินยาทุกชนิด เพราะบางกรณีลูกอาจจะต้องได้รับการผ่าตัด
แพทย์จะรักษาอย่างไร
การรักษากระดูกหักสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะการหักของกระดูก ความรุนแรง และอายุของเด็ก เมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้กระดูกหัก อาการผิดปกติ และประวัติทางการแพทย์อื่น ๆ จากนั้นตรวจดูการเคลื่อนไหวในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและตรวจดูตามข้อต่อด้วย ก่อนจะส่งตัวเด็กไปเอกซ์เรย์ เพื่อวินิจฉัยอาการโดยละเอียดและทำการรักษาอย่างเหมาะสม
การรักษากระดูกหักทำได้โดยการใช้อุปกรณ์พยุงชั่วคราว การใส่เฝือก และการผ่าตัด โดยปกติหากอาการไม่ได้รุนแรงมากมักได้รับการรักษาโดยการใช้อุปกรณ์พยุงชั่วคราวหรือใส่เฝือก เพื่อป้องกันกระดูกขยับและลดอาการปวดบวม หากกระดูกหักแล้วเคลื่อนผิดไปจากตำแหน่งเดิม แพทย์จะทำการจัดกระดูกให้เข้าที่ก่อนใส่เฝือก บางรายที่กระดูกหักรุนแรงอาจจะต้องผ่าตัดใส่โลหะเพื่อยึดกระดูกเข้าไว้ด้วยกัน แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกจะเป็นผู้วินิจฉัยว่าควรใช้อุปกรณ์ประเภทใดเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของกระดูกจึงจะเหมาะสมกับเด็ก
หากอาการไม่รุนแรงเด็กสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังรักษา แต่ในรายที่อาการหนักจนต้องรับการผ่าตัดจะต้องนอนพักฟื้นเพื่อดูอาการ ซึ่งระยะเวลาพักฟื้นก็จะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการและบริเวณที่กระดูกหัก เด็กที่กระดูกหักจากแรงอัดธรรมดาใช้เวลารักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และหายสนิทภายใน 1 เดือน
กระดูกจะสมานกันได้อย่างไร
ใน 2-3 วันแรกหลังจากที่กระดูกหัก ร่างกายจะสร้างลิ่มเลือดรอบ ๆ กระดูกที่หักนั้นเพื่อป้องกันและส่งมอบเซลล์ที่จำเป็นสำหรับการรักษาฟื้นฟู จากนั้นเนื้อเยื่อรอบ ๆ จุดที่กระดูกหักจะฟอร์มตัวเองขึ้นมา เนื้อเยื่อส่วนนี้เรียกว่าแคลลัส (Callus) มันจะช่วยรวมกระดูกที่หักเข้าด้วยกัน ในช่วงแรกมันจะอ่อนนุ่ม จากนั้นถึงจะแข็งขึ้น และแข็งแรงมากขึ้นอีกในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป
ข้อจำกัดและข้อห้ามสำหรับเด็กใส่เฝือก
- ห้ามให้เฝือกโดนน้ำ
- ห้ามนำเฝือกไปลนความร้อนเพื่อให้เฝือกแห้ง
- ห้ามถอดเฝือกออกเอง
- ห้ามใช้งานบริเวณที่กระดูกหัก
- ไม่ควรให้บริเวณนั้นรับแรงกระแทกโดยตรง
- หากมีอาการคันบริเวณผิวหนังใต้เฝือก ไม่ควรใช้วัสดุแข็งหรือแหลมแหย่เข้าไปเกา เพราะอาจทำให้มีแผลหรือวัสดุนั้นหักค้างอยู่ในเฝือก
ควรให้ลูกกินอาหารประเภทใดระหว่างพักฟื้น
- เน้นอาหารหมู่โปรตีนมาก ๆ เพราะจะช่วยส่งเสริมให้บาดแผลหายดี
- อาหารที่ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินดี เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ผักโขม ผักคะน้า ถั่วเหลือง ถั่วงอก
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง อาหารสุกๆดิบๆ และน้ำอัดลม
ปฏิบัติตัวอย่างไรหลังถอดเฝือก
- ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณใต้เฝือกเบา ๆ ด้วยสบู่และน้ำ สามารถบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นด้วยโลชั่น
- เริ่มเคลื่อนไหวข้อที่ถอดเฝือกทันทีถ้าทำได้
- ถ้าเกิดอาการบวมหลังจากเดินหรือนั่งห้อยแขนห้อยขา ควรยกแขนขาให้สูงกว่าลำตัว โดยวงไว้บนหมอน และขยับข้อบริเวณใกล้เคียงบ่อย ๆ
- ยังไม่ควรใช้งานเต็มที่จนกว่ากล้ามเนื้อส่วนนั้นจะแข็งแรงเหมือนเดิม
ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะได้ทราบถึงการสังเกตอาการกระดูกหักในเด็ก รวมทั้งขั้นตอนการรักษาและพักฟื้นของลูกแล้ว ก็ยังต้องช่วยกันป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงแก่เด็กทุกทางด้วยเช่นกันนะคะ พยายามไม่ปล่อยให้เขาอยู่ลับตาเราเวลาเขาเล่นปีนป่าย หากเป็นเด็กเล็กที่เริ่มหัดเดินจะต้องเพิ่มความระวังเวลาเขาขึ้นหรือลงบันได และควรหาอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ทารกน้อยนอนกลิ้งตกเตียงด้วยค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th