ลำไส้แปรปรวน เด็กๆก็เป็นได้ ป้องกันแก้ไขให้ถูกจุด
ไม่กี่ปีมานี้ มีอยู่โรคหนึ่งที่ผู้คนหลากเพศหลายวัยเป็นกันแบบหาสาเหตุไม่พบ นั่นก็คือโรค “ลำไส้แปรปรวน” คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็น่าจะเคยสงสัยอยู่บ้างว่าอาการเกี่ยวกับท้องไส้ ที่ลูกของเราเดี๋ยวปวดนั่น มีแก๊สนี่ มีอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ไปกินอะไรผิดสำแดงมาซะหน่อย ผักผลไม้รึเราก็ให้ลูกกินไม่ขาด หรือลูกเป็นลำไส้แปรปรวนกันแน่นะ แล้วอาการนี้มันเกิดมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นต้นเหตุ มาทำความรู้จักอาการของโรคนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) หรือโรคไอบีเอส (IBS) คือ โรคลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะดีขึ้นหลังขับถ่าย หลังจากนั้นก็กลับมาปวดท้องใหม่ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย โดยเฉพาะหลังกินอาหาร หรือเมื่อตื่นนอนต้องรีบขับถ่าย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย เป็นๆหายๆ บ่อยครั้งอุจจาระคล้ายมีมูกปน แต่ไม่มีเลือดปน หรืออั้นอุจจาระไม่อยู่ เป็นต้น เป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร ในครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จะมีแนวโน้มในการเกิดโรคนี้ได้มากกว่า มักพบมากในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงช่วงประมาณอายุ 40 ปี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเพศหญิง แต่ในวัยเด็กก็สามารถพบได้เช่นกัน ซึ่งอาการที่เกิดกับเด็กทารกอาจจะต้องดูแลเคร่งครัดเรื่องอาหารการกินมากกว่าเด็กโตพอสมควร อาการของโรคนี้อาจไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วย
อาการของโรค
ในผู้ที่ป่วยลำไส้แปรปรวนจะมีอาการไม่สบายท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในท้องมาก ปวดท้องมากหลังรับประทานอาหาร และอาการจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย อุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติ อุจจาระไม่สุด อุจจาระมีเมือกใสหรือสีขาวปนออกมา อั้นอุจจาระไม่อยู่ หรืออาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นต้น
ในผู้ป่วยวัยทารก อาการของโรคมักรุนแรงขึ้นเมื่อกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายเช่น ผัก ผลไม้บางชนิด และการดื่มนม โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนนมผงใหม่ ลูกน้อยกินนมแล้วมีอาการท้องเสียหรือท้องผูก และมีลมในกระเพาะ
ความเครียด รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไปอาจเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้อาการแย่ลง ลำไส้แปรปรวนแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มอาการท้องผูก (IBS-C)
- กลุ่มอาการท้องเสีย (IBS-D)
- กลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (IBS-M)
สาเหตุของโรค
ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอาการลำไส้แปรปรวนเกิดจากสาเหตุใด เพราะมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวการหรือตัวกระตุ้นทำให้ลำไส้เกิดอาการแปรปรวนได้ รวมถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เพศ ในเพศหญิงมีโอกาสเกิดอาการได้มากกว่าในเพศชาย ซึ่งนักวิจัยมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงการมีประจำเดือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน
- อายุ โรคลำไส้แปรปรวนเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่จะพบได้มากกว่าในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี
- พันธุกรรม ในครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จะมีแนวโน้มในการเกิดโรคนี้ได้มากกว่า
- ปัญหาทางจิตใจ ในบุคคลที่มีความเครียด วิตกกังวล ปัญหาทางจิต ประสบเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ จะมีแนวโน้มของการเกิดโรคได้มากกว่า
- ความไวต่ออาหารหรืออาหารเป็นพิษ เช่น การรับประทานอาหารประเภท นม เนย ชีส ช็อกโกแลตข้าวสาลี น้ำตามจากผลไม้หรือฟรักโทส (Fructose) สารให้ความหวานซอร์บิทอล (Sorbitol) ของทอด อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- ปัญหาในการย่อยอาหาร หากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารเร็วเกินไป ร่างกายไม่ทันได้ดูดซึมน้ำและสารอาหาร จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารช้าเกินไป ร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารมากเกินไป จะทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวลำบากและเกิดอาการท้องผูก
- การใช้ยาบางชนิด ในงานศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการซึมเศร้า หรือยาที่มีส่วนประกอบของซอร์บิทอล (Sorbitol) เป็นต้น
การวินิจฉัยโรค
แพทย์จะตรวจอาการของโรคโดยทั่วไปว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้ป่วยมีอาการของโรคลำไส้แปรปรวนหรือไม่ เช่น รู้สึกเครียดหรือรู้สึกรีบในขณะขับถ่าย รู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด มีเมือกปนออกมาด้วย มีอาการท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายท้อง อาการปวดท้องแย่ลงหลังรับประทานอาหาร ได้มีการใช้ยาความดันโลหิตสูง วิตามินเสริมธาตุเหล็ก ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร การแพ้อาหาร การติดเชื้อ การย่อยอาหาร โรคลำไส้อักเสบ รวมถึงเคยมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้หรือไม่ แพทย์จะหาสาเหตุจากโรคอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันก่อน หากตรวจไม่พบความผิดปกติจากโรคอื่นๆ แพทย์จึงวินิจฉัยว่าเกิดจากโรคลำไส้แปรปรวน และอาจมีการวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Flexible Sigmoidoscopy) คือการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy) เพื่อหาสัญญาณและอาการของการอุดตันหรือการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (Upper Endoscopy) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาหารแสบร้อนกลางอกหรืออาหารไม่ย่อย
- การเอกซเรย์ (X-Rays)
- การตรวจเลือดเพื่อหาภาวะโลหิตจาง ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และการติดเชื้อ
- การตรวจอุจจาระเพื่อหาการติดเชื้อในทางเดินอาหารและตรวจหาเลือดที่ปนมาในอุจจาระ
- การทดสอบการแพ้แลคโตส และการแพ้กลูเตน
การรักษาโรค
ในการรักษาทำได้โดยบรรเทาอาการของโรค เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุด ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงรักษาได้โดยจัดการกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร การใช้ชีวิต หรือต้องใช้ยาในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกการดื่มน้ำมาก ๆ และเพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยละลายน้ำ (Soluble Fiber) เช่น กล้วย แอปเปิ้ล แครอท เป็นต้น และในผู้ที่มีอาการท้องเสียควรลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยไม่ละลายน้ำ (Insoluble Fiber) เช่น ซีเรียล ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยาก เพื่อลดการเกิดแก๊สในท้องและท้องอืด เช่น ถั่ว นมจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี ผักและผลไม้บางชนิด เป็นต้น รวมถึงอาหารแปรรูป อาจรับประทานข้าวโอ๊ตเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้
- รับประทานอาหารตรงเวลา ไม่ควรอดอาหาร และไม่ควรรีบรับประทาน
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานสารให้ความหวานซอร์บิทอล มักพบในหมากฝรั่ง เครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น โยคะ เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นต้น จะช่วยผ่อนคลายความเครียด กระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองที่ดีขึ้น
- การใช้ยา เช่น
- ยาแก้ปวดท้อง เช่น มีบีเวอรีน หรือน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินท์ ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหาร อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ค่อนข้างพบได้น้อย เช่น ง่วงซึม หรือท้องผูก เป็นต้น
- ยาระบาย จะช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น และเหมาะกับผู้ที่มีอาการท้องผูก ในช่วงที่มีการใช้ยาระบายซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด แน่นท้อง เป็นต้น ควรดื่มน้ำมาก ๆ
- ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ เช่น โลเพอราไมด์ นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีกลุ่มอาการท้องเสีย จะช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อในลำไส้ มีเวลาให้อุจจาระแข็งและจับตัวเป็นก้อนมากขึ้น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง วิงเวียนศีรษะ ง่วงซึม หรือมีผื่นคัน เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรงอย่างที่หลายคนคิดกัน จึงไม่มีผลข้างเคียงแทรกซ้อน และไม่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ หรือ โรคมะเร็งลำไส้ แต่อาการของโรคจะทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป ส่วนผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงทวารร่วมด้วย ก็สามารมีอาการที่รุนแรงขึ้นได้
การป้องกันโรค
ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่ออาการและความรุนแรงของโรค คือความเครียด ในผู้ป่วยที่มีความเครียดมีแนวโน้มจะทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องเสียบ่อยครั้ง หรือทำให้อาการรุนแรงขึ้น การจัดการกับความเครียดจึงเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาอาการ
ได้รู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีโรคร้ายแทรกซ้อนนะคะ หลักก็คือกินยารักษาไปตามอาหาร และหมั่นสำรวจอาหารให้ดี ที่สำคัญต้องดูแลเรื่องความเครียดของลูกด้วยค่ะ เพราะมีส่วนมากที่จะทำให้อาการกำเริบ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.thร