Site icon Motherhood.co.th Blog

Johnson & Johnson จะเผยผลการทดลอง “วัคซีนโควิด” สัปดาห์หน้า

วัคซีนโควิดของ Johnson

Johnson & Johnson จะเปิดเผยผลการทดลองของวัคซีนโควิด-19 สัปดาห์หน้า

Johnson & Johnson จะเผยผลการทดลอง “วัคซีนโควิด” สัปดาห์หน้า

ท่ามกลางกระแสของผลการฉีด “วัคซีนโควิด” ที่เริ่มมีการฉีดกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในขณะนี้ ทำให้ทาง Johnson & Johnson ออกมาเปิดเผยว่าจะแสดงผลของการทดลองวัคซีนสำหรับโควิด-19 ที่ซุ่มทดลองภายในสัปดาห์หน้านี้ และว่ากันว่าเป็นวัคซีนที่จะเปลี่ยนแปลงวงการได้เลยทีเดียว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีข่าวว่าวัคซีนได้ถูกระงับการทดสอบ หลังพบว่าอาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองวัคซีนมีอาการป่วย ความคืบหน้าของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามรายละเอียดกันค่ะ

Johnson & Johnson เปิดเผยว่า บริษัทอาจเผยรายงานผลการทดลองทางคลินิกเฟสที่ 3 ของวัคซีนโควิด-19 ภายในสัปดาห์หน้า และคาดว่าจะสามารถส่งมอบวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสแรกสำหรับใช้งานในสหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน หากวัคซีนตัวนี้ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

ถ้าผลทดสอบใช้ได้ ก็จะสามารถส่งมอบวัคซีนได้ถึง 100 ล้านโดสแรกภายในเดือนมิถุนายนนี้

อเล็กซ์ กอร์สกี ประธานและซีอีโอของ Johnson & Johnson กล่าวว่า เขามองในแง่ดีเกี่ยวกับผลการทดลองวัคซีนในคนที่มีอาสาสมัครเข้าร่วม 45,000 คน โดยระบุว่า “เราหวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เราจะได้เห็นในกลุ่มประชากรที่ใหญ่ขึ้น แต่แน่นอนว่า เรายังไม่รู้อะไรแน่ชัด จนกว่าเราจะได้เห็นผลการทดลองขั้นสุดท้ายนี้อกกมา”

ทั้งนี้ หากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ใช้วัคซีนตัวนี้เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลกลางสหรัฐฯ อาจมีทางเลือกมากขึ้นในการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติม จากเดิมที่สั่งไปแล้ว 100 ล้านโดส ขณะที่ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่อย่าง Pfizer ของสหรัฐฯ และ AstraZeneca ของอังกฤษ ต่างก็กำลังประสบปัญหาในการจัดหาวัคซีนให้กับหลายประเทศได้ไม่ตรงตามเป้า

สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของวัคซีน Johnson & Johnson ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ก็คือ บริษัทได้ทดลองกับกลุ่มทดลองด้วยวัคซีนเพียงเข็มเดียว ซึ่งหากได้ผล ก็หมายความว่าการฉีดวัคจะง่ายขึ้นมาก เพราะใช้วัคซีนเพียงโดสเดียวต่อคนเท่านั้น ขณะที่วัคซีนของบริษัทอื่นๆ ต้องใช้อย่างน้อยคนละ 2 โดส และฉีดห่างกันหลายสัปดาห์ นอกจากนี้วัคซีนของ Johnson & Johnson ยังได้เปรียบกว่ามากตรงที่มันสามารถเก็บรักษาในตู้เย็นอุณหภูมิปกติ ขณะที่วัคซีนของ Pfizer และ Moderna ต้องใช้ตู้แช่พิเศษ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเก็บรักษาและขนส่ง

“เราวางแผนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทางแก้ปัญหา ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ต้องใช้ตู้แช่พิเศษซึ่งต่างจากวัคซีนอื่น ๆ รวมถึงการใช้วัคซีนเพียงโดสเดียวนั้น มีส่วนทำให้คนนอกบริษัทมองว่ามันคือตัวพลิกเกม” โจเซฟ โวล์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Johnson & Johnson กล่าว

ข้อมูลเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ระบุว่า วัคซีนของ Johnson & Johnson ใช้เทคโนโลยี Viral-Vector หรือการใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงและไม่ทำให้เกิดโรคมาตัดต่อสารพันธุกรรม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกับวัคซีนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และ AstraZeneca รวมถึงวัคซีน Sputnik V ของรัสเซียด้วย

ข้อได้เปรียบคือใช้เพียงโดสเดียวและเก็บรักษาง่ายในตู้เย็นปกติ

และจากข้อมูลชุดแรกที่ Johnson & Johnson เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่แล้วพบว่า วัคซีนโดสเดียวของ Johnson & Johnson ให้ผลในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้คล้ายกับวัคซีนแบบ 2 โดส ของ Pfizer-BioNTech และ Moderna ถึงแม้ว่าวิธีการวัดระดับภูมิคุ้มกันจะแตกต่างกัน และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันโดยตรงได้ แต่ข้อดีที่เห็นชัดเจนของวัคซีนจาก Johnson & Johnson คือการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่สามารถเห็นได้ผลดี และดีขึ้นอีกหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 71 วัน ซึ่งผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นเหมือนกันทั้งในกลุ่มอาสาสมัครผู้มีอายุเกิน 65 ปี และอีกกลุ่มที่อายุ 18 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าวัคซีน Johnson & Johnson มีประสิทธิภาพต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่มากขนาดไหน ขณะที่ทั่วโลกกำลังวิตกกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์จากสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ เพราะทางผู้ผลิตได้เตือนว่าประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง แต่พวกเขาสามารถปรับปรุงวัคซีนโดยใช้เวลาไม่นาน เพื่อให้สามารถป้องกันเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ได้

 

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th