Site icon Motherhood.co.th Blog

เทียบวิธีเลี้ยงลูกของแม่แต่ละยุค คุณแม่ 1990 vs 2019

สำหรับคุณแม่มือใหม่หลายๆ ท่าน การเปิดอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลดีๆ ในการเลี้ยงดูลูกรักดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในสมัยนี้ ในทางกลับกันหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยที่เทคโนโลยียังไม่เจริญก้าวหน้า อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย คงมีหลายคนเกิดข้อสงสัยเช่นเดียวกันว่า คุณแม่ในสมัยนั้นเลี้ยงดูบุตรหลานกันอย่างไรจึงเป็นเราในทุกวันนี้

แน่นอนว่ามีปัจจัยหลายๆ อย่างที่แตกต่างกันระหว่างช่วงเวลา วันนี้ iPrice แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์จะพาคุณย้อนกลับไปดูว่า ยุคสมัยเป็นปัญหาสำหรับการเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ และถ้าเปรียบเทียบกันแล้วการเลี้ยงดูบุตรแบบไหนจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีข้อเปรียบเทียบดังนี้

วิธีเลี้ยงลูก แม่ 1990 vs 2019

1.  การเงิน

ถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตในประจำวัน เพราะเงินเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังสามารถซื้อเวลารวมไปถึงความสะดวกสบายได้อีกด้วย

ข้อเปรียบเทียบ ค่าเงินในสมัยนั้นถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เลยก็คงต้องเปรียบจากราคาของใช้ เช่นเมื่อปี ค.ศ. 1990 น้ำอัดลมมีราคาเพียง 4-5 บาท แต่สมัยนี้ราคาขึ้นมาเท่าตัว ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ก็คงมีราคาไม่ต่างกัน ดังนั้นคุณแม่ยุคเก่าจึงเลือกที่จะประยุกต์ข้าวของเครื่องใช้เพื่อการประหยัดและไม่เน้นการซื้อของแพง ๆ ให้ลูก แต่ถ้าเป็นคุณแม่ยุคใหม่ซึ่งส่วนมากจะทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย จึงมักเลือกความสะดวกสบายและหาซื้อสิ่งของที่ช่วยประหยัดเวลาไปในตัว อีกประการคือ การให้เงินค่าขนมสำหรับเด็กที่เมื่อก่อนเพียง 10 บาทก็เหมือนจะพอเพียง และคุณแม่มักจะให้เงินกับเด็กโดยตรง ดังนั้นหากไม่พอใช้ เด็ก ๆ ก็ไม่กล้าขอเพิ่ม เพราะเกรงว่าจะโดนดุนั่นเอง แต่ปัจจุบันเงิน 100 บาท ดูเหมือนจะใช้จ่ายไม่พอในแต่ละวัน แถมคุณแม่บางท่านยังไม่ว่างที่จะหยิบยื่นเงินด้วยตนเอง บางท่านอาจให้เงินเป็นก้อนเพื่อใช้จ่ายทั้งสัปดาห์ จึงทำให้เด็กอาจบริหารเงินไม่เป็น จนอยู่ไม่ถึงวันสุดท้ายก็เป็นได้

 

ข้อคิด การสอนให้เด็กบริหารเงินนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในทางกลับกันก็อาจเป็นการฝึกให้เด็กเริ่มโกหกเพื่อขอเงินเพิ่มเวลาที่เงินหมดก่อนกำหนดเช่นเดียวกัน บางครั้งการให้เงินเป็นรายวันแม้อาจเสียเวลาไปสักนิด แต่ก็ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับแม่และเด็ก โดยการได้เจอหน้ากันทุกวันนั่นเอง

2.  ของเล่น

เป็นไอเท็มหลักที่ช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิและสามารถอยู่กับตนเองได้ไปนานๆ ของเล่นบางชนิดอาจผลิตขึ้นมาเพื่อเสริมทักษะทางด้านพัฒนาการให้กับเด็กๆ

 

ข้อเปรียบเทียบ ถ้าคุณเกิดทันอาจจะเคยเห็นการละเล่นแบบไทยแท้ๆ เช่นกระโดดหนังยาง พับกระดาษ หรือหมากเก็บ ซึ่งแทบไม่เห็นแล้วในสมัยนี้ แต่นั่นคือของเล่นเด็กสมัยนั้น เห็นได้ชัดว่าแทบไม่ต้องเสียเงินในการซื้อ และในหลายๆ อย่างยังเสริมทักษะให้เด็กอีกด้วย เช่น การพับกระดาษ ก็เสริมด้านจินตนาการ ความคิด และสมาธิ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นเด็กสมัยใหม่ บางคนอาจมี iPhone รุ่นใหม่เล่นแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นปัจจุบันเราจึงเห็นเด็กส่วนใหญ่ติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มากกว่าการพูดคุยหรือเล่นกับเพื่อนๆ ในขณะที่เด็กยุคเก่าจะเล่นซนกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันมากกว่า

 

ข้อคิด ถือเป็นเรื่องดีที่คุณแม่สมัยใหม่เน้นให้ลูกฝึกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กๆ อาจใช้อุปกรณ์ดังกล่าวไปในทางที่ผิดได้เช่นเดียวกัน ในบางครั้งของเล่นเสริมทักษะต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตดูจะเป็นอีกทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งเช่นกัน

3.  อาหาร

เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับเด็ก ยิ่งเด็กๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการสร้างภูมิต้านทานมากขึ้นเท่านั้น

 

ข้อเปรียบเทียบ หากย้อนกลับไปเมื่อก่อนคุณแม่ในสมัยนั้นจะเน้นให้ลูกทานผัก ผลไม้ และปลา ที่เลือกซื้อได้ตามท้องตลาด ซึ่งจะเน้นการบังคับให้เด็กรับประทานให้หมดในทุกๆ มื้อ แต่คุณแม่สมัยใหม่จะเลือกซื้อเป็นอาหารเสริม หรือขนมที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้วมากกว่า โดยจะเลือกดูที่ข้อมูลโภชนาการบนฉลาก ซึ่งก็มีประโยชน์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่สดใหม่เท่านั้นเอง

 

ข้อคิด โดยส่วนมาก เด็กๆ จะไม่เลือกกินผักก่อนแน่นอน ดังนั้นคุณจึงควรบังคับให้เด็กกินผักได้ด้วยตนเอง และควรเป็นผักสดจึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะถึงแม้อาหารแปรรูปจะมีรสชาติดี รับประทานง่าย แต่คุณก็ต้องเสี่ยงกับการให้ลูกรับสารบางประเภทที่มากับอาหาร เช่น สารกันบูด เป็นต้น

 

4.  การแต่งกาย

ที่แม้จะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างช่วงสมัยกันมากนัก แต่ก็ยังมีจุดเล็ก ๆ ที่คุณแม่ทั้งสองสมัยคิดเห็นต่างกันอยู่

 

ข้อเปรียบเทียบ เสื้อผ้าเด็กในสมัยเมื่อก่อนกับสมัยใหม่ แม้จะไม่แตกต่างกันมาก เช่น เสื้อ เดรส กางเกง และกระโปรง เป็นต้น เพียงแต่ถ้าเป็นสมัยก่อนคุณแม่อาจจะเลือกเสื้อผ้าให้ลูกใส่สบายๆ ไม่เน้นแฟชั่นมากนัก เด็กบางคนอาจได้ใส่เสื้อคอกระเช้าเลยก็เป็นได้ ปัจจุบันการเลือกซื้อเครื่องแต่งกายให้เด็ก ดูจะเน้นให้เข้ากับแฟชั่นเหมือนผู้ใหญ่มากกว่า เช่น การจับเด็กแต่งกายด้วยกางเกงขาสั้นและเสื้อสายเดี่ยว เป็นต้น

 

ข้อคิด คุณแม่สมัยใหม่ควรสอนให้เด็กแต่งกายน่ารักสมวัย เพราะการแต่งตัวเกินวัย อาจส่งผลให้เด็กชินกับแนวการแต่งตัว และยากที่จะบังคับให้เด็กกลับมาใส่ชุดที่เป็นระเบียบเรียบร้อยได้

5.  สุขอนามัย

ถือเป็นสิ่งเดียวที่คุณแม่ทั้งสองสมัยเห็นพ้องต้องกัน เพียงแต่อาจแตกต่างกันด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตามยุคสมัยนั่นเอง

 

ข้อเปรียบเทียบ การรณรงค์รักษาสุขอนามัยเริ่มมีมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ผู้คนในสมัยก่อนอาจไม่เห็นความสำคัญเทียบเท่าสมัยปัจจุบันและอาจไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งหมด ดังนั้นคุณแม่สมัยก่อนอาจเพียงเตือนให้ลูกล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังจับต้องสิ่งของที่สกปรกเท่านั้น แต่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ล้างมือได้ถูกออกแบบมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอลล์เหลว หรือครีมล้างมือ ก็มักจะเป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นบนผลิตภัณฑ์ระบุว่าฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หมดจด หรือการผสมสารบำรุงผิวเข้าไปด้วย เป็นต้น ดังนั้น ปัจจุบันคุณแม่หลายท่านคงเลือกซื้อแอลกอฮอลล์เจลให้ลูกติดกระเป๋ามากกว่า

 

ข้อคิด หากคุณแม่สอนให้ลูกดูแลสุขอนามัยอยู่เสมอ เด็กก็จะติดเป็นนิสัยและคอยปฏิบัติทุกครั้ง แม้ยามที่คุณแม่ไม่อยู่ด้วยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ข้อความที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าคุณแม่สมัยไหนที่เลี้ยงลูกได้ดีกว่ากัน เพราะเจตนารมย์ที่ดีของคุณแม่ทุกคนก็คงอยากให้ลูกๆ ได้สิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่วิธีการอาจแตกต่างกันออกไป สุดท้ายนี้ไม่ว่าคุณจะเลี้ยงลูกรักของคุณด้วยวิธีไหนก็ตาม ควรคำนึงเสมอว่า เด็กเป็นเหมือนผ้าขาวที่พร้อมเปรอะเปื้อนได้เสมอ และเป็นวัยสำหรับการเรียนรู้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไร เด็กก็จะเลียนแบบพฤติกรรมของคุณหรือคนใกล้ชิดได้

ที่มา : ขนิษฐา สาสะกุล iPrice