เด็กติดเกม พ่อแม่ต้องรีบแก้ไขก่อนจะสาย
“เด็กติดเกม” อาจเป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายๆบ้านต้องเผชิญ โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกในวัยเรียน เมื่อเขาเริ่มโตพอที่จะใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ท และยังมีสังคมของเพื่อนๆที่เล่นเกมเหมือนกันกับเขา พ่อแม่จะทราบได้อย่างไรว่าลูกเราเล่นเกมจนติดแล้วหรือยัง ถ้าติดแล้ว จัดว่าอยู่ในระดับไหน และจะบำบัดอย่างไร ติดตามในบทความนี้ได้เลยค่ะ
จะรู้ได้อย่างไร? ว่าลูกติดเกม
สัญญาณของการเริ่มติดเกม คือ เด็กจะหมกมุ่นอยู่กับเกมแบบไม่รู้เวลาและไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เลิกเล่นได้ พยายามดิ้นรนที่จะเล่นเกมมากขึ้น เมื่อพ่อแม่บอกให้หยุดเล่นเกมก็จะแสดงอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย บางครั้งถึงกับอาละวาด แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว รวมทั้งมีการใช้เงินที่มากกว่าปกติ ใช้เงินไปกับการเล่นเกม หรือแอบหยิบเงินคนอื่น หาเงินทางอื่นเพื่อนำไปใช้กับการเล่นเกม
ต่างๆไม่เป็นเวลานอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบต่อร่างกาย เพราะนอนดึก นอนไม่เป็นเวลา เวลานอนไม่เพียงพอ การเรียนตกต่ำลง ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งทำให้พัฒนาการช้าในเด็กเล็ก
ระดับความรุนแรงของการติดเกม
ในทางการแพทย์จะมีข้อกำหนดถึงลักษณะความรุนแรงของการติดเกมอยู่ พ่อแม่บางคนอาจจะเห็นลูกใช้เล่นเกมนานกว่าที่ตัวเองชอบใจก็อาจจะเรียกว่าเป็นการติดเกมแล้ว หากพ่อแม่อยากรู้ว่าลูกติดเกมไหม สามารถดูได้จากพฤติกรรมตามระดับความรุนแรงของการติด ดังต่อไปนี้
1. ชอบ แต่ไม่ได้ติด
เด็กสามารถมีความชอบได้ แต่ต้องไม่เสียการควบคุมตนเอง เด็กบางคนชอบร้องเพลง เด็กบางคนชอบอ่านหนังสือว ขณะที่บางคนชอบเล่นกีฬา ความชอบเหล่านั้นทำให้เจ้าตัวมีความสุข แต่ยังสามารถที่จะทำกิจกรรมอื่นๆได้อีก
2. คลั่งไคล้
เด็กเริ่มไม่สนใจที่จะทำกิจกรรมอื่น เด็กที่คลั่งไคล้จะเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ เช่น วันนี้ตั้งใจจะไม่เล่นเกม พยายามบอกตัวเองว่างดเล่นเกมสักวัน แต่อดใจไม่ไหว ควบคุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็เล่นเหมือนเดิม แต่การคลั่งไคล้ยังไม่ถึงขั้นติด แค่เริ่มเสียการควบคุมตนเอง
3. การติด
อาการของเด็กติดเกมโดยทั่วไปสังเกตได้จากเริ่มละเลยการทำหน้าที่ รวมถึงทำกิจกรรมอย่างอื่นน้อยลง เช่น
- ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เล่นในเวลาที่กำหนด ใช้เวลาในการเล่นนานติดต่อกันหลายๆชั่วโมง หรือเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน เด็กบางคนเล่นข้ามวันข้ามคืน
- หากถูกบังคับให้เลิกหรือหยุดเล่นจะเกิดการต่อต้าน หรือแสดงอาการหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรง เด็กบางคนถึงขั้นอาละวาด
- การเล่นเกมของเด็กมีผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น ไม่สนใจการเรียน ไม่ทำการบ้าน หนีเรียน หรือแอบหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปเล่นเกม รวมถึงผลการเรียนตกลงอย่างมาก ละเลยการเข้าสังคม หรือการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
- บางรายอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆร่วมด้วย เช่น โกหก ขโมย ดื้อ ต่อต้าน แยกตัว เก็บตัว เป็นต้น
อะไรเป็นสาเหตุให้เด็กติดเกม?
- ปัจจัยจากตัวเด็ก เด็กที่มีความเสี่ยงในการติดเกมมาก เช่น เด็กสมาธิสั้น มีความอดทนน้อย ขาดการควบคุมตนเอง เด็กที่มีปัญหาอารมณ์ซึมเศร้า เครียด อาจใช้เกมเพื่อช่วยคลายเครียด สร้างความสุข เด็กที่ขาดความภาคภูมิใจในตนเอง (Low Self-Esteem) ขาดทักษะทางสังคม หรือมีปัญหาการเรียน อาจใช้เกมเป็นสิ่งที่เพิ่มความสามารถและความภาคภูมิใจ ได้รับการยอมรับจากเพื่อนและสังคม
- ปัจจัยด้านครอบครัว สิ่งสำคัญคือการเลี้ยงดูที่ขาดระเบียบวินัย กฎกติกา หรือตามใจเด็กมากเกินไป ทำให้เด็กขาดการควบคุมตัวเองในการเล่นเกม หลายงานวิจัยพบว่าปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กติดเกมได้ บางครอบครัวใช้อารมณ์กับลูกหรือไม่มีเวลาให้เด็ก ขาดการทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ทำให้เด็กเกิดความเหงา ความเบื่อหน่าย เด็กจึงต้องหากิจกรรมอื่นเพื่อทำให้ตัวเองสนุก ซึ่งก็คือการเล่นเกม หรือบางครั้งครอบครัวก็ใช้เกมเพื่อช่วยให้เด็กนิ่ง สงบ ไม่ซน ไม่รบกวนการทำงานของครอบครัว
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กเข้าถึงเกมได้ง่าย เช่น การที่พ่อแม่หยิบยื่นอุปกรณ์ที่ทำให้เด็กเข้าถึงเกมมากเกินไป ในสังคมมีกลุ่มเพื่อนที่มีการพูดคุยเรื่องเกม โรงเรียนหรือบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ร้านเกมก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กติดเกมได้ง่ายขึ้น
- ปัจจัยทางชีวภาพ จากหลายการศึกษาพบว่าเด็กที่มีภาวะติดเกมนั้นสมองถูกกระตุ้นคล้ายกับคนติดยา
ลักษณะของพ่อแม่ที่มีลูกติดเกม
พ่อแม่ควรทบทวนตัวเองว่ามีลักษณะต่างๆต่อไปนี้บ้างหรือไม่ ถ้ามี ต้องทำการแก้ไข จะได้ช่วยป้องกันและรักษาเด็กติดอย่างเกมได้ผล
- ใจอ่อน
- ตามใจมากไป
- ไม่มีเวลาให้
- ขาดอำนาจในการปกครอง
หลักสำคัญในการป้องกันและช่วยเหลือเด็กติดเกม
วิธีการป้องกันและแก้ไขเด็กติดเกมสามารถทำได้ด้วยการใช้วิธีการต่างๆประกอบกัน ดังนี้
1. รู้ความสนใจของลูกตลอดเวลา
พ่อแม่ควรสนใจติดตามพฤติกรรมของลูก ความสนใจกิจกรรมต่างๆ รวมถึงความสนใจเรื่องเกม ส่วนใหญ่เด็กจะเริ่มอยากเล่นเกมตั้งแต่อายุ 6 ปีเป็นต้นไป และจะมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย ซึ่งเด็กยังขาดการควบคุมตนเอง เพื่อนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อเด็กที่จะชักจูงให้สนใจ
2. รู้จักเกมที่ลูกเล่น
เกมที่เด็กเล่นอาจมีหลายประเภท แตกต่างกันตามความสนใจ ความชอบความถนัด การพูดคุยเรื่องเกมกับลูกทำให้พ่อแม่เข้าใจความชอบของเขา
3. รู้เหตุผลที่ลูกชอบเล่นเกม
- เกมทำให้รู้สึกสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ
- รู้สึกทำอะไรสำเร็จ ได้รับความภูมิใจ ได้เสียงชื่นชมจากเพื่อน
- ได้แสดงออกเรื่องที่เก็บกด ปลดปล่อยความก้าวร้าว
- มีรางวัลเป็นแรงจูงใจ เช่น แต้ม คะแนน ได้รับรางวัลจากการสร้างผลงานทันที
- สามารถทำเงินจากเกมได้ เช่น นำของในเกมไปขาย มีการตกลงซื้อขายกันกับผู้เล่นเกมคนอื่น
4. ช่วยเหลือเมื่อลูกติดเกมแล้ว
- ตกลงกติกาการเล่นเกมกันให้ชัดเจน พยายามให้ลดหรือเลิก ถ้าจะลด ให้จัดเวลาใหม่โดยลดเวลาเล่นลงทีละน้อย ถ้าจะให้เลิก ต้องจัดกิจกรรมทดแทนเวลาที่เคยเล่นเกมทันที เพื่อเบนความสนใจไปจากเกม
- แสดงความเอาจริงเอาจังกับข้อตกลงนี้
- ทดลองปฏิบัติเป็นเวลาที่แน่นอน เช่น ทดลอง 1 เดือน แล้วกลับมาประเมินผลร่วมกัน
- กำหนดแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดปัญหา เช่น ถ้าลูกไม่ทำตาม พ่อแม่จะทำอะไร จะต้องช่วยอย่างไร
- ปรับกติกาใหม่ถ้ามีปัญหาในการให้ความร่วมมือ หรือทำตามที่ตกลงไว้ไม่ได้
- เสริมทักษะในการควบคุมตนเอง
- จัดสิ่งแวดล้อมไม่ให้มีสิ่งกระตุ้นให้อยากเล่นเกม
- ถ้าพ่อแม่ได้ทำทุกอย่างตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว รู้สึกว่ายังไม่สามารถปรับพฤติกรรมของลูกได้ ควรติดต่อจิตแพทย์ที่บำบัดการติดเกมโดยเฉพาะ
- แพทย์จะประเมินสาเหตุและวางแผนช่วยเหลือร่วมกับเด็กและครอบครัว เพื่อวางแผนการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมกับตัวเด็ก ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมของเด็ก
- แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาในโรงพยาบาลในกรณีที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือพฤติกรรมที่รุนแรงเพื่อรักษาเด็ก
เกมที่เหมาะสำหรับเด็กในแต่ละช่วงอายุ
- เด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบ พ่อแม่ไม่ควรให้เล่นเกมโดยเด็ดขาด
- เด็กที่มีอายุระหว่าง 3-6 ขวบ ควรเล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการศึกษา โดยมีพ่อแม่คอยควบคุมดูแล
- เด็กที่มีอายุ 6 ขวบขึ้นไป สามารถเล่นเกมอื่นๆได้ตามที่พ่อแม่กำหนดไว้
- เด็กที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงเกมที่มีเนื้อหาความรุนแรงมากเกินไป และห้ามเล่นเกมที่มีเนื้อหาทางเพศ คำหยาบคาย การพนัน และยาเสพติด
การเล่นเกมไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากตัวเด็กเองและคุณพ่อคุณแม่ช่วยกันจัดสรรเวลาเล่นให้เหมาะสม ไม่กระทบกระเทือนการเรียน หรือหมกมุ่นจนไม่เป็นอันทำอะไร ข้อดีของการเล่นเกมก็ยังมีอยู่มากมาย เช่น เพิ่มทักษะในการใช้งานคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ได้ใช้ภาษาอังกฤษ หรือได้ฝึกวางแผนหากชอบเล่นเกมที่ต้องใช้ทักษะการวางแผนมาก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรมองเกมในแง่ลบไปเสียทั้งหมด ลองใช้เวลาหาความรู้เกี่ยวกับเกมที่ลูกสนใจบ้าง ลองให้ลูกสอนเล่นเกมบ้างก็ได้ และคอยคัดกรองสิ่งที่ยังไม่เหมาะสมกับวัยของเขาออกไป หากพบว่าเขามีความสนใจจริงจังที่จะประกอบอาชีพในสายเกมเมื่อโตขึ้น ก็คอยสนับสนุนเขาอย่างเดินทางสายกลาง ให้เขาเล่นเกมได้ ใช้เวลาฝึกฝนหรือแข่งเกมได้ แต่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ในส่วนอื่นให้ดีด้วย เมื่อลูกได้รู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้มองสิ่งที่เขารักเป็นปีศาจ และยังรู้สึกภูมิใจที่เขามีทักษะหรือความสำเร็จจากการเล่นเกม เขาก็จะเรียนรู้ที่จะรักในการเล่นเกมอย่างพอดีได้เอง
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th