โรคไข้หวัดใหญ่ กำลังระบาด ต้องรีบป้องกันให้ลูก
“โรคไข้หวัดใหญ่” เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก และในช่วงนี้เริ่มมีการระบาดให้เห็นกันอีกรอบ เพราะเป็นช่วงที่อากาศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เชื้อโรคก็จะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่ก็ยังมีอาการติดเชื้ออื่นๆที่มาจากไวรัสชนิดที่คล้ายกันกับตัวที่ทำให้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสังเกตอาการให้ดี จะได้แน่ใจว่าเป็นไข้หวัดชนิดใดกันแน่ จะได้รักษาลูกให้ตรงตามอาการ
รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ให้ดีขึ้น
ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในอาการหรือสารคัดหลั่ง ทั้งน้ำมูก น้ำลาย การไอหรือจามใส่กัน ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายทางอากาศได้ เชื้อจะอยู่ตามละอองฝอยที่อยู่ในอากาศ เมื่อเด็กสูดเข้าไปก็จะติดเชื้อ ซึ่งเชื้อที่ว่านี้คือ อินฟลูเอนซ่า มีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ ทั้ง A B และ C แต่ละสายพันธุ์ก็จะยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อยๆอีกมาก ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดมาจากสายพันธุ์ย่อยเพียงแค่สายพันธุ์เดียว แต่ตัวที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยและมีความรุนแรงของอาการคือ สายพันธุ์ A เช่น สายพันธุ์ H1N1 H5N1 เป็นต้น เมื่อเป็นสายพันธุ์ไหนแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์นั้น จึงยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยเป็นมาก่อนได้ เชื้อไวรัสเหล่านี้จะมีระยะฟักตัวประมาณ 1-4 วัน
เชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์อาจผลัดกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และการระบาดแต่ละครั้งจะนิยมตั้งชื่อตามถิ่นกำเนิด เช่น ไข้หวัดฮ่องกง ไข้หวัดรัสเซีย หรือไข้วหวัดใหญ่ A H1N1 2009 เป็นต้น
อาการแบบไหนใช่โรคไข้หวัดใหญ่แน่
- มีไข้สูงเกิดขึ้นในทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ มีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง แน่นท้อง แต่บางรายอาจจะไม่มีอาการคัดจมูกหรือเป็นหวัดเลยก็ได้
- มีไข้สูงกว่าหวัดธรรมดา ประมาณ 38.5-40 องศาเซลเซียส และเป็นอยู่ประมาณ 2-4 วันค่อยลดลง
- ไอและอ่อนเพลีย จะเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้อาการอื่นๆจะหายไปเกือบหมดแล้วก็ตาม
- หน้าแดง เปลือกตาแดง มีน้ำมูกใส ในคอแดงเล็กน้อย หรืออาจไม่แดงเลย ทั้งที่มีอาการเจ็บคอ
สำหรับในเด็กเล็กยิ่งจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีอาการที่รุนแรงกว่าการเป็นไข้หวัดแบบทั่วไปมาก หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือมีการติดเชื้อแทรกซ้อน เพราะร่างกายของเด็กยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่มากพอ
การรักษาเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
- ดูแลตัวเองเหมือนตอนเป็นไข้หวัด คือ นอนพักผ่อนมากๆ ห้ามทำงานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลาที่มีไข้สูง หรือใช้แผ่นเจลแปะลดไข้ รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำผลไม้มากๆ
- ใช้ยารักษาตามอาหาร เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด ยาลดน้ำมูก เป็นต้น แต่สำหรับเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจเกิดกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s Syndrome) ได้
- กินยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้ตามแต่ละกรณี ไม่ว่าจะเป็นยา Tamiflu ที่จะมีในรูปแบบแคปซูลและยาน้ำ และยา Relenza ที่จะอยู่ในรูปแบบผงใช้สูดดม หากได้รับยาเหล่านี้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังพบอาการ จะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ และลดระยะเวลาของการเจ็บป่วยได้ 1-2 วัน ทำให้ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลลง
- หากเด็กมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ ภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียนี้จะเห็นได้จากการที่มีน้ำมูกหรือเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีอาการไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ
- ถ้าเด็กมีอาการหอบหรือสงสัยว่าปอดอักเสบ ควรนำตัวส่งโรงพยาบาล และแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ตรวจพบ
ป้องกันไข้หวัดใหญ่เอาไว้ก่อน
การป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สำหรับคนที่ยังแข็งแรงปกติดี ก็เหมือนกับการป้องกันการติดเชื้อหวัดแบบทั่วไป คือ หมั่นล้างมือให้สะอาด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และได้สารอาหารครบถ้วน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ สวมหน้ากากอนามัยเวลาที่ต้องไปในที่แออัด และฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นี้ สามารถฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งในการฉีดแต่ละครั้งจะสามารถป้องกันได้นานถึง 1 ปี และช่วงเวลาที่ควรฉีดคือก่อนเข้าหน้าฝน เพราะเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายที่สุด
ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี และผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่
- ผู้ใหญ่ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
- เด็กอายุ 6-18 ปี ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคไต โรคเลือด ภูมิคุ้มกันเสื่อม หรือต้องรักษาด้วยยาแอสไพรินเป็นประจำ
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินขั้นสูง
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลเป็นประจำในปีที่ผ่านมา
- บุคลาการทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ในสถานเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้นคนชรา สถานบำบัดผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเมื่อเข้าไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์
- นักท่องเที่ยว ที่จะต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด
คนกลุ่มนี้ห้ามฉีดวัคซีน
- เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ไก่ชนิดรุนแรง ถ้าแพ้แบบไม่รุนแรงมาก เช่น มีอาการแค่เป็นผื่น ก็สามารถรับวัคซีนได้ แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาทีหลังฉีด
- ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน
- ผู้ที่มีปฏิกิริยาแทรกซ้อนรุนแรง หลังจากได้รับวัคซีนในครั้งที่ผ่านมา
หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่เคยพาลูกๆไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก็ควรรีบพาไปฉีดป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ เพราะหากติดเชื้อในสายพันธุ์ที่มีความร้ายแรง ก็อาจจะมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงและถึงขั้นเสียชีวิตได้ หรือหากได้รับเชื้อมาแล้วในปีนี้ ก็ควรพาไปฉีดในปีหน้าก่อนเข้าช่วงหน้าฝนที่เชื้อจะเริ่มระบาด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เขาติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆในปีต่อไป
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th