ไวรัสตับอักเสบ อีกโรคติดต่อที่คนมักละเลย
เรื่องของสุขภาพพลานามัยเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่จำกัดเฉพาะลูกน้อยเท่านั้น อีกโรคหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยระวังในการติดต่อแพร่เชื้อคือ “ไวรัสตับอักเสบ” มันเป็นโรคที่ติดต่อและแพร่เชื้อกันง่าย ผ่านการใช้ภาชนะหรือแก้วน้ำร่วมกัน หากเชื้อโรคแพร่ไปยังเด็กเล็กก็เป็นความยุ่งยากตามมา ตัวเลข 400 ล้าน คือจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสตับอักเสบทั่วโลก แต่ข่าวดีก็คือโรคตับอักเสบบางรูปแบบสามารถรักษาให้หายขาดได้และส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ วันนี้ Motherhood จะมาบอกคุณเกี่ยวกับสาเหตุและทางเลือกในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบในเด็ก ติดตามกันต่อไปว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเล็กติดเชื้อได้อย่างไร
ไวรัสตับอักเสบคืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบเป็นการอักเสบของเซลล์ตับ มันอาจเริ่มติดเชื้ออย่างรุนแรงในเด็กเล็ก และอีก 90% พบในทารกที่อายุน้อยกว่าหกเดือน ในเด็กบางคนก็สามารถกลายเป็นภาวะเรื้อรัง ด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ เด็กๆจึงมีความเสี่ยงต่อไวรัสมากกว่า โดยในแต่ละปีมีคนประมาณหกล้านคนที่ติดเชื้อไวรัส
ประเภทของไวรัสตับอักเสบในเด็ก
ไวรัสตับอักเสบมีด้วยกัน 5 ประเภท ทั้ง A, B, C, D และ E ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ D และ E เป็นสิ่งที่พบได้ยาก ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กก็สามารถติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ A, B หรือ C ในเด็กนั้นสามารถติดเชื้อได้ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไรก็ตาม
ไวรัสตับอักเสบเอในเด็ก
เป็นไวรัสตับอักเสบที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก และแพร่กระจายผ่านทางอาหารน้ำหรือวัตถุที่ปนเปื้อน ไวรัสตับอักเสบเอมักจะพบในอุจจาระและสามารถเจริญเติบโตได้เป็นเวลาหลายเดือน เด็กสามารถติดเชื้อไวรัสเมื่อเขากินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนหรือเมื่อเขาสัมผัสวัตถุที่ติดไวรัส
ไวรัสเจริญเติบโตในสภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในพื้นที่แออัด การติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) มักจะไม่รุนแรงซึ่งทำให้ตรวจจับได้ยากมาก อย่างไรก็ตามการติดเชื้อนี้ใช้เวลาน้อยกว่าหกเดือนและไม่ส่งผลให้เกิดอาการเรื้อรัง
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- ไม่อยากอาหาร
- มีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือความรู้สึกไม่สบายทั่วไป
- มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
- มีไข้อ่อนๆ
- ปัสสาวะมีสีเข้มในขณะที่อุจจาระเปลี่ยนเป็นสีอ่อน
- มีสัญญาณของโรคดีซ่าน คือ ความเหลืองในตาและเล็บ
- เจ็บคอและไอ (พบได้ไม่บ่อย)
แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัย การติดเชื้อนี้ใช้เวลาสองสามเดือนจนกระทั่งไวรัสออกจากร่างกายด้วยตัวมันเอง ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบเอ แต่มียาที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ
สาเหตุของโรคไวรัสตับอักเสบเอคืออะไร?
สภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการแพร่กระจายของไวรัสตับอักเสบเอ ลูกของคุณสามารถติดเชื้อเมื่อเขา:
- กินอาหารที่เตรียมอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ (ไม่ได้ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร)
- ดื่มน้ำหรือนมที่ปนเปื้อนด้วยไวรัส
- กินอาหาร โดยเฉพาะสัตว์น้ำมีเปลือก ที่ปนเปื้อน
- เดินทางไปยังประเทศที่มีการติดเชื้ออย่างแพร่หลายโดยไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
- การถ่ายเลือด (พบได้ยาก)
จะป้องกันโรคตับอักเสบเอได้อย่างไร?
เด็กทุกคนที่มีอายุมากกว่าหนึ่งปีควรได้รับการฉีดวัคซีน และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำตามตารางฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เข็มแรกของวัคซีนเริ่มทำงานใน 4 สัปดาห์นับจากวันที่ได้รับวัคซีน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกจะได้รับวัคซีนซ้ำในอีก 6 เดือนและ 12 เดือน เพื่อการป้องกันในระยะยาว
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอในเด็ก
- หลีกเลี่ยงอาหารจากภายนอกโดยเฉพาะอาหารจากพ่อค้าแม่ค้าและหาบเร่แผงลอย
- สร้างนิสัยรักษาสุขอนามัยให้ลูก เช่น ล้างมือก่อนสัมผัสอาหาร หรือหลังจากสัมผัสวัตถุนอกบ้าน เช่น สไลด์ในสนามเด็กเล่นและหลังกลับจากสถานที่ต่างๆ
- หลีกเลี่ยงการให้อาหารดิบหรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
- หากไม่มีน้ำขวดหรือเครื่องกรองน้ำ ให้ต้มน้ำก่อน
ไวรัสตับอักเสบบีในเด็ก
ไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากไวรัสบี (HBV) ซึ่งส่งต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านการถ่ายโอนเลือด น้ำลาย น้ำอสุจิ ปัสสาวะ และแม้กระทั่งน้ำตา ซึ่งแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบีสามารถนำไปสู่การติดเชื้อตับเรื้อรังที่ส่งผลต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว
อาการและการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี
- ดวงตาสีเหลือง รวมทั้งเล็บและปัสสาวะ (ดีซ่าน)
- มีอาการเหนื่อยล้ามาก
- มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
การวินิจฉัยอาจรวมถึงการตรวจเลือดตามด้วยการฉีดวัคซีน หากลูกของคุณไม่เคยรับการฉีดวัคซีนมาก่อน ไม่มีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีซึ่งทำให้เป็นอันตรายมากขึ้น ในบางกรณีการติดเชื้ออาจทำให้ตับวายตับแข็งหรือแม้แต่มะเร็งตับ
สาเหตุของโรคไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
สิ่งเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่างอาจทำให้เกิดโรคตับอักเสบบีในเด็ก
- ไวรัสแพร่จากแม่สู่ทารกแรกเกิด (Perinatal transmission) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในพื้นที่ที่มีโรคระบาดสูง
- เมื่อเด็กสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือดหรือน้ำลายของเด็กที่ติดเชื้อหรือบุคคลอื่น ตัวอย่างเช่นลูกของคุณสามารถติดเชื้อเมื่อเด็กที่ติดเชื้อกัดหรือข่วนเขา
- สามารถติดเชื้อไวรัสด้วยการแบ่งปันอาหารหรือเครื่องดื่มกับคนที่ติดเชื้อ
- มีการสัมผัสกับเลือดที่ติดเชื้อ
- ใช้อุปกรณ์อาบน้ำร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน จะสามารถส่งเชื้อจากเด็กคนหนึ่งไปยังอีกคนได้
หากแม่มีเชื้อไว้รัสตับอักเสบบี
ก่อนถึงกำหนดคลอดประมาณ 3 เดือน แพทย์จะเช็กผลเลือดของแม่ว่ามีปริมาณไวรัสมากน้อยเพียงใด หากมีปริมาณมากแพทย์จะจ่ายยาคุมเชื้อไวรัสให้รับประทานติดต่อกันนาน 3 เดือน ถ้ามีเชื้อไวรัสไม่มากก็คอยเฝ้าติดตามอาการต่อไป เมื่อเด็กคลอดแพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและภูมิต้านทานที่หน้าขาทั้งสองข้างของเด็กทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
จะป้องกันโรคตับอักเสบบีได้อย่างไร?
- มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีสำหรับเด็กที่มีประสิทธิภาพ 95% และสามารถป้องกันลูกๆของคุณจากไวรัส ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณได้รับการฉีดวัคซีน และปฏิบัติตามตารางการฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนนี้สามารถให้ความคุ้มครองได้นานถึง 20 ปี
- สอนลูกไม่ให้ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟัน ช้อนและแก้วน้ำ ที่สามารถถ่ายโอนน้ำลายจากผู้ติดเชื้อไปยังเด็ก
- สอนลูกว่าอย่าแตะต้องเลือด ถ้าคนนั้นมีแผลตัดหรือมีรอยถลอก เด็กๆอาจทำไปเพราะหวังดีอยากช่วยเหลือหรือแค่อยากรู้อยากเห็น
- หากพาลูกไปเจาะหู ต้องเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย ไว้ใจได้
หากคุณพ่อคุณแม่คิดว่าลูกติดเชื้อ ให้พบแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดทันที เด็กควรได้รับการฉีดวัคซีนภายในสองสัปดาห์นับจากวันที่เขาติดเชื้อไวรัส ยิ่งได้รับวัคซีนเร็วเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยสำหรับเด็กเท่านั้น
ไวรัสตับอักเสบซีในเด็ก
ไวรัสตับอักเสบซีเกิดขึ้นเมื่อเด็กถูกโจมตีด้วยเชื้อไวรัสซี (HCV) ซึ่งเคลื่อนที่ผ่านเลือด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนี้พบได้ทั่วไปในผู้ใหญ่ ไม่ใช่ในเด็ก อย่างไรก็ตามทารกแรกเกิดที่มีมารดาที่ติดเชื้ออาจติดเชื้อไวรัสจากมารดาได้
อาการและการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี
อาการจะไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายอย่างน้อยในช่วงเริ่มต้นของโรค หลังจากระยะฟักตัว 2-6 สัปดาห์ลูกอาจแสดงอาการต่อไปนี้
- มีไข้อ่อนๆ
- แสดงความเหนื่อยล้าอย่างหนัก
- ดีซ่าน
- ปัสสาวะมีสีเข้ม
- อุจจาระสีเทา
- อาเจียนและปวดท้อง
- ปวดตามข้อ
- ไม่อยากอาหาร
ประมาณ 55-80% ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถพัฒนาอาการไปสู่การติดเชื้อตับเรื้อรัง นอกจากการตรวจหาอาการแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้ใช้การทดสอบทางเซรุ่มวิทยาเพื่อตรวจหาแอนติบอดีต่อต้านไวรัสตับอักเสบซี และทำการทดสอบนิวเคลียสเพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อเรื้อรังหรือไม่ หากตรวจพบเร็วการรักษาสามารถต่อสู้กับเชื้อและรักษาได้ มิฉะนั้นแพทย์จะแนะนำโปรแกรมการรักษาที่อาจรวมถึงการใช้ยาต้านไวรัสที่กำจัด HCV ออกจากร่างกาย
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็กล้างมือเป็นประจำโดยเฉพาะหลังจากใช้ห้องน้ำ ให้พวกเขาล้างมืออย่างน้อย 20 วินาทีก่อนที่จะสัมผัสอาหารเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส
- หลีกเลี่ยงการแชร์ผ้าเช็ดตัวแปรงสีฟันและของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ที่ทำให้ไวรัสแพร่กระจาย
- ทำความสะอาดห้องน้ำ มือจับชักโครก ลูกบิดประตูห้องน้ำ ฯลฯ ที่ใช้โดยเด็กที่ติดเชื้อ สิ่งนี้จะช่วยป้องกันการติดเชื้อจากการแพร่กระจายไปยังเด็กคนอื่นๆ
- อย่าปล่อยให้ลูกกินน้ำหรืออาหารโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาว่ามีอนามัยในการผลิตหรือไม่
- ล้างจานด้วยน้ำร้อนถ้าทำได้ และใช้น้ำยาล้างจานทุกครั้ง
- ไม่ให้ลูกไปโรงเรียนและให้เขาอยู่ห่างจากเด็กคนอื่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากตรวจพบอาการ
ไวรัสตับอักเสบอาจเป็นอันตรายถึงขั้นติดเชื้อได้หากไม่ถูกตรวจพบและไม่ถูกรักษา ตับเป็นส่วนสำคัญของร่างกายและความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นกับมันอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็ก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องให้ลูกได้รับการฉีดวัคซีน และทำตามตารางการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบเพื่อปกป้องเขาในระยะยาว
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th