Site icon Motherhood.co.th Blog

‘Anti-vaxxer’ ลัทธิต่อต้านวัคซีนอย่างสุดโต่ง

anti-vaxxer คือใคร

ทำความรู้จักกับ 'Anti-vaxxer' ลัทธิป่วนที่นำโรคระบาดกลับมา

‘Anti-vaxxer’ ลัทธิต่อต้านวัคซีนอย่างสุดโต่ง

เราอาจจะเคยได้ยินมาว่าเซเล็บต่างประเทศหลายคนเป็นหนึ่งในกลุ่ม ‘Anti-vaxxer’ หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยให้เข้าใจได้ง่ายว่าลัทธิต่อต้านวัคซีน หลายคนอาจจะอยากรู้แล้วว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงออกมาต่อต้านการฉีดวัคซีน วัคซีนเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสายตาของพวกเขาขนาดนั้นเชียวหรือ และการไม่ฉีดวัคซีนจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสังคมมนุษย์อย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ

กลุ่ม ‘Anti-vaxxer’ คืออะไร?

กลุ่มคนในลัทธิต่อต้านการฉีดวัคซีนนี้สมาชิกหลักเป็นกลุ่มพ่อแม่ที่อ้างว่าจะเลี้ยงลูกด้วยวิธีที่ธรรมชาติที่สุดโดยการไม่ให้ลูกรับวัคซีน เพราะพวกเขามีความเชื่อว่าการฉีดวัคซีนให้เด็กเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เหมือนเป็นการเอาลูกหลานของตัวเองไปเป็นหนูทดลองยาให้กับบริษัทผลิตยาและวัคซีนยักษ์ใหญ่ เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่คนทั่วไปได้ฟังแล้วก็ต้องส่ายหัวให้กับจินตนาการอันเหลือเชื่อของคนกลุ่มนี้ และพ่อแม่พวกนี้ยังอ้างอีกว่าไม่เคยมีงานวิจัยชิ้นไหนที่บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนนั้นปลอดภัยสำหรับเด็ก ชุมชนของชาวแอนตี้การฉีดวัคซีนนั้นจัดว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็งมาก เราจึงสามารถเรียกพวกเขาว่าเป็น “ลัทธิ” (Cult) ได้เลยด้วยซ้ำ

ภาพชวนเชื่อของกลุ่มต่อต้านวัคซีนในยุคปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกกลุ่มมีคนที่อยู่ในวงการแพทย์มากมาย เป็นที่น่าตกใจว่าแพทย์คนหนึ่งในกลุ่มถึงขั้นเขียนงานวิจัยปลอมขึ้นมา งานวิจัยชิ้นนี้อ้างว่าการฉีดวัคซีนทำให้เด็กมีภาวะออทิสติก เรียนรู้ช้า พิการ หรือถึงกับเสียชีวิตได้ แม้ว่าแพทย์รายนี้จะถูกถอดถอนใบประกอบวิชาชีพไปแล้ว และวงการแพทย์ทั่วโลกก็ไม่เคยให้การยอมรับหรือรับรองวิจัยฉบับนี้ แต่เหล่าสาวกลัทธิก็ยังคงเชื่อและนำมันมากล่าวอ้างซ้ำไปซ้ำมา

ลัทธิต่อต้านวัคซีนเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?

การต่อต้านการฉีดวัคซีนนั้นมีมานานตั้งแต่ปีคศ.1763 ที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในยุคนั้นการฉีดวัคซีนให้กับเด็กก็ยังไม่มีการรับประกันว่าจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพของเด็ก ทำให้การฉีดวัคซีนถูกแบนในฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อวิทยาการก้าวหน้าขึ้น ในปีคศ. 1796 เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ แพทย์ชาวอังกฤษสามารถพัฒนาวัคซีนฝีดาษตัวแรกได้สำเร็จ โดยวัคซีนตัวนี้ทำจากไวรัสชื่อ Vaccinia เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในวัวที่ยังมีชีวิต แต่เอามาทำให้มันอ่อนแรงลง จากนั้นถึงทำการฉีดให้มนุษย์หรือที่เรียกว่าปลูกฝีนั่นเอง แต่ผู้คนในสมัยนั้นก็ยังไม่ให้ความเชื่อถืออยู่ดี เพราะพวกเขามองว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดกับการเอาเชื้อโรค (ที่เพราะจากสัตว์มาก่อนด้วยซ้ำ) มาฉีดเข้าไปในตัวคนหรือตัวเด็กและอ้างว่าจะส่งผลดีกับพวกเขา คนส่วนมากไม่มั่นใจในความปลอดภัยของวิทยาศาสตร์และยาขนานใหม่ ๆ คนส่วนใหญ่ในสังคมสมัยนั้นยังยึดติดการรักษาด้วยวิธีโบราณอยู่ เช่น การรักษาด้วยการหลั่งเลือด (Bloodletting) การใช้ทากดูดบาดแผล การใช้ยาผีบอก ยาครอบจักรวาลขนานเดียวรักษาได้ทุกอย่าง

ในขณะที่ประเทศอังกฤษมีความเอาจริงเอาจังเป็นอันมาก เมื่อวัคซีนเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ทางการอังกฤษจึงออกกฎหมายบังคับการฉีดวัคซีนขึ้น พอกฎหมายตัวนี้ถูกบังคับใช้ กลุ่มต่อต้านวัคซีนจึงรวมตัวกันขึ้นมา โดยในปีคศ.1879 นักธุรกิจใหญ่ชาวอังกฤษผู้เป็นสมาชิกลัทธิแอนตี้วัคซีนนามว่าวิลเลียม เท็บบ์ ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและนำเอาความเชื่อของลัทธินี้ไปเผยแพร่ด้วย ความเชื่อเพี้ยน ๆ นี้จึงเกิดขึ้นในอเมริกาเช่นกัน โดยเท็บบ์ได้ก่อตั้งสมาคม Anti-Vaccination Society of America อย่างเป็นทางการในเมืองนิวยอร์กในปีเดียวกันนั้นเอง สมาคมของเขามีสมาชิกนับพันคน และมีเงินทุนสนับสนุนมากพอที่จะตั้งเวทีปราศัยทุกสัปดาห์ พิมพ์หนังสือและแผ่นพับ และแจกจ่ายพวกมันด้วยเจตนาที่จะให้ผู้คนเห็นถึงพิษสงของวัคซีนที่รัฐและแพทย์เก็บงำความจริงเอาไว้

ภาพตัวอย่างของใบปลิวที่ลัทธิต่อต้านวัคซีนพิมพ์แจกในสมัยก่อน

เมื่อมีกลุ่มทุนจากนักธุรกิจมาเป็นแบ็คอัพชั้นดีให้เช่นนี้ กลุ่มต่อต้านวัคซีนก็เริ่มออกเดินสายประท้วงไปตามรัฐต่าง ๆ ในขณะที่รัฐในอเมริการาว 50% ก็ค่อย ๆ ทยอยออกกฎหมายฉีดวัคซีนให้มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง การเคลื่อนไหวของลิทธินี้ยังดำเนินต่อเนื่องในอเมริกาภายในระยะเวลาร่วม 100 ปี จนกระทั่งปีคศ.1982 กระแสของการต่อต้านวัคซีนก็ถูกจุดให้ดังเปรี้ยงอีกครั้งกับรายการสารคดีชื่อ DPT: Vaccine Roulette ที่ออกอากาศในสหรัฐอเมริกา สารคดีชิ้นนี้เล่าเรื่องและวิพากษ์วิจารณ์วัคซีนที่ใช้รักษาโรค 3 ชนิด คือ ไอกรน คอตีบ และบาดทะยัก มีการสัมภาษณ์บรรดาแม่ที่พาลูกไปฉีกวัคซีนแล้วรู้สึกว่าลูกของพวกเธอมีอาการผิดปกติ บรรดาแพทย์ทั่วโลกออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน แพทย์ส่วนมากให้ความเห็นตรงกันว่าสารคดีบิดเบือนข้อมูลจนเกินจริงและทำการใส่สีตีไข่จนเกินไป

แม้ว่าในทุกวันนี้วิทยาการทางการแพทย์ของโลกเราจะรุดหน้าไปไหลสักเพียงใด รวมทั้งมีงานวิจัยมากมายที่บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนให้เด็กนั้นมีผลดีมากกว่าผลเสียแน่นอน ความเชื่อนี้ก็ยังไม่หายไป มิหนำซ้ำมันกลับจะแผ่นขยายเข้ามายังประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมทั้งในประเทศไทยเราด้วย

การไม่ฉีดวัคซีนมีผลเสียเช่นไร?

การไม่ฉีดวัคซีนนั้นส่งผลต่อสังคมส่วนรวมอย่างมาก เพราะจะทำให้มีโรคระบาดแพร่ในสังคม เด็กทารก เด็กที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือผู้ใหญ่ที่เคยรับวัคซีนแล้วเมื่อครั้งยังเด็กแต่ภูมิคุ้มกันต่ำ คือกลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบอย่างแรง ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเด็กจะให้ลูกรับวัคซีนตรงตามกำหนดแล้ว แต่เด็กทารกที่เพิ่งเกิดและรับวัคซีนได้ไม่นานหรือเด็กที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ฉีดวัคซีน ภูมิคุ้มกันโรคจะยังสร้างตัวไม่มากพอ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้สูง

โดยปกติแล้วสิ่งที่ป้องกันไม่ให้เด็กทารกหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันติดโรคคือ Herd Immunity หรือภูมิคุ้มกันระดับชุมชน การที่ Herd Immunity มีขึ้นมาได้เป็นเพราะคนในชุมชนนั้น ๆ ได้รับวัคซีนมากพอ ทำให้โรคไม่สามารถแพร่สู่คนอื่นได้ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้เกิด Herd Immunity ของแต่ละโรคก็มีไม่เท่ากัน เช่นกับโรคหัด จะต้องมีคนในชุมชนมากถึง 95% ที่ได้รับวัคซีน ถึงจะทำให้ชุมชนนั้นปลอดภัยจากโรคหัด การขยายตัวของ Anti-vaxxer จึงทำให้ Herd Immunity อ่อนแอลง โรคหลาย ๆ โรคจึงสามารถกลับมาระบาดได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูกกำจัดไปหมดแล้วก็ตาม

หากจำนวนคนที่ไม่ได้รับวัคซีนเยอะขึ้น โรคจะกลับมาระบาดได้อีก

โรคระบาดสามารถกลับมาใหม่ได้ ดังเช่นเหตุการณ์ที่ครอบครัวบูชาลัทธินี้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศคอสตาริกา ในระหว่างเที่ยวนั้นเอง ลูกชายป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลและตรวจพบว่าเป็นหัด ทั้ง ๆ ที่ประเทศคอสตาริกาไม่มีรายงานการติดเชื้อโรคหัดมาตั้งแต่ปีคศ.2006 แล้ว ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นอันมาก เกิดการตามตัวผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับเด็กชายคนนี้มาตรวจหาเชื้อโรคหัด และยังต้องตามหาจากโรงแรมที่ครอบครัวนี้เคยพัก สถานที่ท่องเที่ยวที่เคยแวะไป เพราะคนที่พักหรือเที่ยวที่เดียวกันอาจมีสิทธิ์ติดโรคไปด้วย และไม่ใช่คอสตาริกาแค่เพียงประเทศเดียวที่ต้องรับมือกับความยุ่งยากนี้ เพราะก่อนหน้าที่ครอบครัวตัวป่วนนี้จะเดินทางไปที่นั่น เขาได้แวะเที่ยวประเทศอื่นในแถบอเมริกากลางมาก่อนแล้ว

นอกจากโรคหัดที่กลับมาระบาดในคอสตาริกาแล้ว โรคอีสุกอีใสยังระบาดขึ้นอีกในรัฐนอร์ทแคโรไลนาด้วย และเป็นการระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว เพราะที่รัฐนี้มีสมาชิกลัทธิฯอยู่เป็นจำนวนมาก มากขนาดที่ว่าเด็กจำนวน 3 ใน 4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งเติบโตมาในครอบครัว Anti-vaxxer พวกเขาจึงไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอะไรเลย

ภายหลังจากที่การระบาดของโรคกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ผู้คนก็วิจารณ์กันมากมาย ซึ่งส่วนมากมีความเห็นตรงกันว่าแม้ว่าแพทย์และคนอื่น ๆ จะอธิบายว่าการฉีดวัคซีนมันจำเป็นอย่างไร คนที่เลือกจะปิดหูปิดตาและเชื่อแต่ความคิดของตนก็จะไม่สนใจฟังอยู่ดี คงต้องให้เขาพบเจอการสูญเสียกับตัวเองก่อนอาจจะรู้ซึ้ง แต่บรรดาแพทย์ทั่วโลกก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าผลกระทบมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเด็กที่ไม่ได้รับวีคซีนเพียงอย่างเดียว การแพร่ระบาดของโรคมันส่งผลต่อคนในสังคมได้ทั้งหมด ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ บรรดาโรคที่เราเคยเข้าใจกันว่าไม่มีใครเป็นกันอีกแล้ว อย่างเช่นโรคโปลิโอ ก็อาจจะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งก็เป็นได้

คนที่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนก็เริ่มประท้วงกลับ

Motherhood สนับสนุนให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยไปฉีกวีคซีนให้ครบตามกำหนดนะคะ มีตัวไหนที่แพทย์แนะนำว่าต้องฉีดก็จัดไปให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์เลย อย่าให้ขาดหกตกหล่นไปแม้แต่ตัวเดียวค่ะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th