Site icon Motherhood.co.th Blog

baby monitor เลือกอย่างไร ให้ปลอดภัยใช้งานได้จริง

วิธีเลือกซื้อ baby monitor

ให้ baby monitor เป็นผู้ช่วยดูแลความปลอดภัยของลูกคุณ

baby monitor เลือกอย่างไร ให้ปลอดภัยใช้งานได้จริง

คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อยหลายๆคนคงคิดที่อยากจะหาซื้อ “baby monitor” ไว้ใช้กันสักเครื่องใช่ไหมละคะ แต่ทุกวันนี้ก็มีเบบี้มอนิเตอร์วางจำหน่ายกันมากมายหลายราคา แบบไหนถึงจะเหมาะกับการใช้งานของเรา รุ่นไหนถึงจะดี มีคำถามอะไรที่เราควรสอบถามจากผู้ขายก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้าง วันนี้ Motherhood จะมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์ที่ถูกใจและใช้งานได้จริงค่ะ

พ่อแม่ยุคใหม่นิยมใช้เบบี้มอนิเตอร์เพื่อความปลอดภัยของลูก

เบบี้มอนิเตอร์หรือกล้องดูเด็กคืออะไร

เบบี้มอนิเตอร์หรือที่เรียกกับว่ากล้องดูเด็ก คืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อย เพื่อไว้ใช้ดูความเคลื่อนไหวของลูก ให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยตลอดเวลา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านและฝากลูกน้อยไว้กับพี่เลี้ยงหรือคนรับจ้างเลี้ยง อย่างน้อยพ่อแม่ก็มั่นใจได้ว่าลูกยังอยู่ในสายตาของเราเสมอ หรือคุณแม่ที่เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ในตอนกลางวัน เวลาลูกหลับ คุณแม่อาจมีความจำเป็นต้องทำงานบ้าน เข้าครัวเพื่อทำอาหาร แม้แต่ทำธุระส่วนตัวอื่น ๆ ก็ยังสามารถมองเห็นลูกได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าลูกคลอดเวลา คุณแม่จะได้สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นในขณะที่ลูกนอนหลับ

ส่วนใหญ่แล้วตัวเครื่องของเบบี้มอนิเตอร์จะมีขนาดเล็กกะทัดรัด หน้าจอจะเป็นแบบ LCD ที่มีความกว้างประมาณ 2 นิ้วขึ้นไป น้ำหนักเบา พกพาสะดวก คุณพ่อคุณแม่จึงสามารถนำติดตัวไปใช้งานได้ทุกที่ บางรุ่นนั้นตัวกล้องสามารถเล่นเพลงกล่อมลูกได้ รวมทั้งมีอินฟราเรด (IR) หรือโหมดกลางคืน (Night vision) ทำให้มองเห็นในที่มืดได้อัตโนมัติ หากเป็นรุ่นที่สามารถตรวจจับเสียงได้ก็จะมีไมโครโฟนและลำโพงในตัว

เบบี้มอนิเตอร์ส่วนมากจะมีแบตเตอรี่มาแล้วในตัว ทำให้สามารถพกพาไปยังห้องต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ต้องเสียบไฟจากปลั๊ก และบางรุ่นแม้ไม่ต้องมีการเชื่อมต่อ WiFi ก็ใช้งานได้เช่นกัน ซึ่งราคาของเบบี้มอนิเตอร์จะอยู่ประมาณ 3,000 – 15,000 บาท แตกต่างกันไปตามแต่รุ่นและคุณสมบัติการใช้งาน

เบบี้มอนิเตอร์มีหลายแบบ เลือกให้ตรงความต้องการในการใช้งาน

ประเภทของเบบี้มอนิเตอร์

ในท้องตลาดมีเบบี้มอนิเตอร์มากมายหลายรุ่นหลายราคาให้เลือก เพื่อความไม่สับสน เราสามารถแบ่งประเภทของเบบี้มอนิเตอร์ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. Sound monitor เป็นประเภทที่ถูกใช้อย่างกว้างขวาง มีตัวรับสัญญาณเป็นไมโครโฟนและส่งสัญญาณไปยังตัวรับสัญญาณซึ่งจะอยู่ที่พ่อแม่หรือคนเลี้ยง เครื่องจะจับเสียงเวลาที่ลูกตื่นหรือร้องไห้ขึ้นมาในเวลาไม่มีใครอยู่ด้วย ตัวรับสัญญาณสามารถมีได้หลายตัว เพื่อนำไปตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน เบบี้มอนิเตอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้ถ่านในการให้พลังงาน

2. Video monitor หากพ่อแม่อยากเห็นความเคลื่อนไหวของลูกมากกว่าเสียง เบบี้มอนิเตอร์ประเภทนี้ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน เพราะมันจะส่งสัญญาณมาพร้อมกันทั้งภาพและเสียง ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมโหมดกลางคืน (Night mode) ด้วย ทำให้สามารถดูภาพได้ชัดทั้งกลางวันกลางคืน บางรุ่นมีความสามารถในการจับอุณหภูมิของห้องที่ลูกนอนได้ และยังสามารถตั้งโปรแกรมเพลงกล่อมเด็กได้ด้วย

3. Motion monitor สำหรับเบบี้มอนิเตอร์ประเภทนี้แทนที่จะส่งภาพและเสียงตามปกติ มันจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกจากใต้ที่นอน ตามปกติเวลาทารกนอนหลับจะมีการเคลื่อนไหวอยู่เรื่อย ๆ ถ้าลูกไม่ขยับเลยเป็นเวลา 20 วินาทีหลังจากที่มีการจับการเคลื่อนไหวได้ครั้งล่าสุด เครื่องก็จะส่งสัญญาณเตือนออกมา เครื่องรุ่นใหม่จะจับการหายใจและการร้องไห้ได้ด้วย เหมาะกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดและมีปัญหาสุขภาพ คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกมีความเสี่ยงเรื่องอาการเสียชีวิตอย่างกระทันหัน Sudden Infant Death Syndrome (SIDS) จะนิยมใช้เบบี้มอนิเตอร์ประเภทนี้เพื่อติดตามอาการลูกเวลานอน

4. Prenatal sound monitor มอนิเตอร์ประเภทนี้มีขึ้นเพื่อฟังเสียงหัวใจหรือเสียงสะอึกของทารกตอนที่ยังอยู่ในท้องแม่เสียมากกว่า

แบบอะนาล็อกก็เหมาะสมดีสำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้อยู่ไกลลูกมาก

เบบี้มอนิเตอร์สัญญาณ Wireless

สำหรับเบบี้มอนิเตอร์ที่ใช้งานแบบไร้สาย (Wireless) ตอนนี้ในบ้านเรามีใช้งานหลัก ๆ ด้วยกัน 2 ระบบ คือ Digital และ Analog ซึ่งข้อดีของแต่ละระบบมีดังนี้

  1. Digital – ราคาจะสูงสักหน่อย เพราะเป็นระบบที่ตัดเสียงรบกวนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่า ประมาณ 250 เมตร ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนกว่า
  2. Analog – มีราคาที่ย่อมเยากว่า ทำให้การใช้งานจำกัดลงไปด้วย ระยะที่ส่งสัญญาณได้จะอยู่ประมาณ 50 เมตร ภาพและเสียงที่ได้ก็ชัดเหมือนกัน

ถ้าหากครอบครัวอาศัยอยู่ ตึก 3-4 ชั้น แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องลงมาทำงานข้างล่าง หรือบ้านมีห้องเยอะทำให้สัญญาณโดนกีดขวาง ก็เลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์แบบ Digital จะเหมาะสมกว่า ส่วนบ้านไหนที่อยู่ใกล้ลูกพอสมควร แค่ทำงานบ้าน ทำงาน เข้าห้องน้ำ หรือดูทีวี แต่ไม่อยากลุกเดินไปดูลูกบ่อย ๆ ว่าตื่นหรือยัง หรือต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมไหม ก็สามารถเลือกใช้เบบี้มอนิเตอร์แบบ Analog ได้

วิธีเลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์

  1. ต้องสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน สามารถเห็นในที่มืดได้อัตโนมัติ เพราะหัวใจหลักของเบบี้มอนิเตอร์ก็คือการมองเห็นภาพลูกน้อย หากภาพไม่ชัด เบลอ หรือภาพขาดหายเป็นระยะ ก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความหงุดหงิดเปล่า ๆ
  2. มีเสียงแจ้งเตือน หากเกิดกรณีลูกร้องหรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ถ้าเป็นเบบี้มอนิเตอร์ประเภทที่มีเสียงแจ้งเตือนก็จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ไปหาลูกได้ทันท่วงที
  3. มีการทำงานหลากหลายฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงกล่อมเด็ก กล้องที่สามารถหมุนได้ทั่วทิศ หรือมีโหมดกลางคืน ก็จะยิ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายและคุ้มค่ามากขึ้น
  4. มีการรับประกันสินค้า หากเลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์รุ่นที่มีราคาค่อนข้างสูง การรับประกันสินค้าที่ดีย่อมจำเป็น อย่าลืมเรียกใบรับประกันสินค้าจะผู้ขายทุกครั้ง
ไม่ควรติดตั้งใกล้บริเวณที่ทารกนอนจนเกินไปนัก

ข้อควรระวังในการใช้งานเบบี้มอนิเตอร์

แม้ว่าเบบี้มอนิเตอร์จะเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มการดูแลความปลอดภัยให้เจ้าตัวน้อย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับกับลูกของเราได้ หากคุณพ่อคุณแม่ติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ในที่ ๆ ไม่ดีพอ หรือที่ ๆ ลูกสามารถหยิบจับได้ด้วยความไม่รู้ของเขา เช่น อาจจะนำอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนมาเล่นหรือขว้างปา ทำให้เกิดความเสียหายได้ และหากคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้เลยว่าอุปกรณ์นั้นเสียหรือตกหล่นลงมาจากที่ของมันแล้ว และในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดขึ้น เราก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าลูกของเรากำลังตกอยู่ในอันตรายอยู่หรือเปล่า

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในเบื้องต้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ก็คือ การติดตั้งเบบี้มอนิเตอร์ให้ห่างจากบริเวณที่ลูกนอนประมาณ 1 เมตร เพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนเวลาที่พวกเขานอนหลับ และต้องให้มั่นใจว่าจุดติดตั้งมอนิเตอร์นั้นมั่นคงพอที่จะไม่ทำให้ตัวมอนิเตอร์หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์หลุดหรือตกหล่นลงไปที่พื้นหรือในเตียงนอนของลูก

หวังว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีความรู้เพิ่มเติมในการเลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์กันมากขึ้นแล้วนะคะ เพราะการดูแลความปลอดภัยของลูกรักคือสิ่งสำคัญ การจะเลือกใช้ของใดๆที่เกี่ยวข้องเราย่อมต้องพิถีพิถันให้มาก และในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เรายิ่งต้องเลือกเฟ้นสิ่งที่คุ้มค่าเงินของเรามากที่สุด ทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปจะมั่นใจได้ว่ามันช่วยคุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกรักของเราได้อย่างแท้จริง

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th