บางที “การหย่าร้าง” อาจจะดีต่อความรู้สึกของลูกมากกว่า
คุณอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าเราทนอยู่กันเพื่อลูก แต่ความจริงก็คือชีวิตคู่ที่ไร้ความสุขอาจจะทำให้ลูกของคุณเจ็บปวดยิ่งกว่า “การหย่าร้าง” ก็ได้ ซึ่งมันมีหลายเหตุผลมารองรับนะคะว่าทำไม มาติดตามไปด้วยกันเลยค่ะ
ว่ากันตามจริงแล้ว การหย่าร้างไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมยินดี มันทำให้ทุกคนในความสัมพันธ์เจ็บปวด รวมไปถึงเด็ก ๆ ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว เด็ก ๆ จะทุกข์ทรมานกว่ามากหากเขาต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางพ่อแม่ผู้ไม่มีความสุขที่เอาแต่ทะเลาะกันไม่เว้นวัน
1. เด็กจะเติบโตขึ้นโดยที่ซึมซับความเป็นพิษจากชีวิตคู่ของพ่อแม่เอาไว้
เด็ก ๆ สามารถเติบโตขึ้นไปและเป็นกระจกสะท้อนความสัมพันธ์ในรูปแบบเดียวกันกับที่เขาเผชิญมาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก การได้เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันแทบทุกวันเป็นสิ่งที่เขาเคยชิน และมีแนวโน้มที่เขาจะเป็นเช่นนั้นเสียเองด้วยเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเติบโตขึ้นพร้อมกับความคิดที่ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะใช้ชีวิตอยู่กับชีวิตคู่ที่เป็นพิษ และเขาก็จะไม่สามารถจินตนาการถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไปในทางที่ดีกว่าได้เลย
2. เขาไม่มีทางที่จะ “คุ้นเคย” กับการทะเลาะของพ่อแม่
ถึงแม้ว่าภาพของการทะเลาะทุ่มเถียงของพ่อแม่จะมีให้ลูกเห็นมาแรมปี แต่เด็ก ๆ ไม่มีทางที่จะ “เคยชิน” กับการทะเลาะเบาะแว้งของพ่อแม่ได้ง่ายนักหรอก ความขัดแย้งภายในครอบครัวส่งผลกระทบต่อเด็กทั้งในทางอารมณ์และทางสังคม และยังทำให้เขามีปัญหาเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ปัญหาเรื่องความเคารพในตัวเอง แม้กระทั่งความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ในระยะยาวแล้ว มันจะยิ่งเป็นการยากสำหรับพวกเขาขึ้นไปอีกที่จะเอาชนะความรู้สึกไม่มั่นใจ ความวิตกกังวล รวมทั้งความรู้สึกผิด
3. เด็กจะอ่อนไหวต่อความเครียดมากยิ่งขึ้น
ในการที่เด็ก ๆ จะเรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์อันตึงเครียดนั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่อันปลอดภัย ซึ่งโดยปกติแล้วควรจะเป็นที่บ้านของเขาเอง เมื่อคำว่า “บ้าน” กลับหมายความถึงความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการตะโกนใส่กัน มันก็ไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก หากแต่เป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงเสียมากกว่า เหล่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาในบ้านเช่นนั้นจะเป็นเด็กที่เกิดความเครียดได้ง่าย และเขาสามารถตีความเหตุการณ์ที่แสนจะธรรมดาให้เป็นเรื่องร้าย ๆ ได้ สิ่งเหล่านี้สร้างความเครียดให้แก่เด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การนอนฝันร้าย โรคนอนไม่หลับ หรือโรคซึมเศร้า
4. เขาจะประสบกับความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
เมื่อต้นแบบของความสัมพันธ์ที่เขาเคยเผชิญมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากภาพแห่งความสุข เด็กก็จะมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นในภายหลัง พวกเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์เชิงโรแมนติค รวมทั้งกับการปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย มันจะเป็นการยากสำหรับเขาในการสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อ หรือมีสายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน โดยปราศจากความกลัว
5. เด็กจะรับเอานิสัยที่ไม่ดีมา
สิ่งแรกที่เด็กจะทำเพื่อปกป้องตนเองก็คือพยายามทำให้ตัวเองด้านชาทางความรู้สึก เพื่อเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์อันตึงเครียดที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วเขาก็จะรับเอานิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นมา เช่น การกินเพราะเครียด การหมกมุ่นกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่มากจนเกินพอดี เพียงเพื่อที่จะหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะทำอะไรเลยเถิดไป รวมทั้งกลายเป็นเด็กที่เกรี้ยวกราดและก้าวร้าวยิ่งขึ้นในเวลาที่เล่นกับเด็กคนอื่น
6. เขาจะแสดงออกทางอารมณ์อย่างยากลำบาก
เมื่อต้องพบเห็นการล่วงละเมิดทางวาจา การหลีกเลี่ยง การปิดประตูใส่กัน เด็กก็จะเรียนรู้ที่จะไม่แสดงอารมณ์ เพราะมันไม่ปลอดภัย พวกเขาจะเกิดความกลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่มันผิดไปและได้รับการตอบสนองแบบเดียวกัน เขาจะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความวิตกกังวลและความยากลำบากที่จะเปิดใจ และเมื่อเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขาจะนำสิ่งที่เขาเคยประสบมาในครอบครัวไปทำซ้ำในสิ่งที่พ่อแม่เคยทำพลาดมา
อย่าปกปิดการหย่าร้างเพียงเพราะคิดว่าเป็นการปกป้องลูก
หากเรื่องราวมันเดินทางมาถึงจุดที่คุณตัดสินใจจะจบชีวิตคู่ไว้เพียงเท่านี้จริง ๆ คุณไม่ควรมีความคิดที่ว่าจะปกปิดหรือซ่อนเร้นการหย่าร้างนี้จากเด็ก ๆ โดยเฉพาะหากคุณคิดว่าสำหรับเด็กที่ยังเล็ก มันเป็นเรื่องง่ายที่คุณจะปิดเรื่องไว้ เด็ก ๆ ไม่ได้โง่
วิธีที่ดีที่สุดในการบอกเด็ก ๆ เกี่ยวกับการหย่าร้างที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณทั้งสองควรให้คำอธิบายที่เหมาะสมกับอายุ ประเด็นหลักของการสนทนาคือ แม้ว่าพ่อแม่จะต้องแยกย้ายกันไป แต่ลูกนั้นจะยังคงเป็นที่รักไม่มีเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ควรเน้นว่าเด็กไม่มีความผิด พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดหรือทำอะไรที่มีส่วนนำไปสู่การตัดสินใจของพวกคุณ
เด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับคู่ชีวิตที่ “แย่”
ความจริงก็คือเด็กมักจะเห็นพ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง พวกเขายังคงรักคุณทั้งคู่แม้ว่าพวกคุณจะแยกกันไปแล้วก็ตาม เมื่อพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งแยกออกไป เด็กจะรู้สึกว่ามีส่วนหนึ่งของตัวเองกำลังถูกโจมตี พวกเขาอาจจะโกรธและรู้สึกผิดกับการกระทำของพ่อแม่ที่พวกเขารัก
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด การแฉอดีตคู่ชีวิตของคุณจะทำให้เด็กรู้สึกลบต่อผู้ปกครองอีกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพูดถึงในทางลบมากเกินไป มันจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับพ่อหรือแม่ของเขาด้วยความกระหายใคร่รู้ที่เขามีขึ้นเองในเวลาที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับพ่อแม่ที่ “ไม่ดี”
พ่อแม่ที่หย่าร้างกันไม่ควรใช้กฎที่แตกต่างกันกับเด็ก
หนึ่งในปัญหาที่ร้ายกาจของการเติบโตกับพ่อแม่ที่หย่าร้างคือการมีความคาดหวังต่อเด็กที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ปกครอง เด็กจะรู้สึกว่ามันมีช่องโหว่และความไม่แน่นอนในกฎระเบียบต่าง ๆ ผู้ปกครองก็จะสามารถรู้สึกถึงความขัดแย้งได้เช่นกัน
วิธีที่ดีที่สุดที่พวกคุณสามารถทำได้หลังจากการหย่าร้างคือการร่วมกันเป็นผู้ปกครองของลูก นั่นหมายถึงว่าความคาดหวังต่าง ๆ จะต้องสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในครอบครัว ดังนั้น หากเด็กไม่สามารถใช้งานแท็บเล็ตได้ที่บ้านแม่ เมื่อเขาอยู่ที่บ้านพ่อเขาก็ยังควรที่จะใช้งานมันไม่ได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เมื่อมีระเบียบวินัยคงเส้นคงวาเด็ก ๆ จะรู้สึกว่าตนเองมั่นคงขึ้น นอกจากนี้ยังหมายความว่าผู้ปกครองคนหนึ่งไม่สามารถหงายการ์ด “พ่อแม่สายมันส์” และกลายเป็นเหมือนพ่อ/แม่พระในสายตาของเด็ก ในขณะที่ผู้ปกครองอีกคนที่จู้จี้และเคร่งในกฎระเบียบมากกว่าก็จะรับบทตัวร้ายไปในทันที
หากวันนี้คุณกำลังมีปัญหาในชีวิตคู่ คุณควรไตร่ตรองถึงทางออกให้ดีในทุก ๆ ด้านนะคะ แต่ Motherhood อยากให้รู้ว่าไม่ว่าคุณจะตัดสินใจกับความสัมพันธ์อย่างไร คนที่จะต้องรับผลมากที่สุดก็คือลูกของคุณเองนี่ละค่ะ เราขอเอาใจช่วยให้ทุกครอบครัวที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในชีวิตคู่ได้พบกับทางออกที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย และเป็นทางออกที่เด็ก ๆ จะแฮปปี้ที่สุดภายหลังการตัดสินใจของผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ นะคะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th