ปัญหาของ “ถุงน้ำดี” ระหว่างและหลังการตั้งครรภ์
ปัญหาเกี่ยวกับ “ถุงน้ำดี” มักเกิดขึ้นในการตั้งครรภ์และบางครั้งก็เกิดขึ้นได้หลังคลอด โรคที่เกี่ยวกับถุงน้ำดี ได้แก่ การอักเสบ การติดเชื้อ นิ่ว และการอุดตันของถุงน้ำดี ซึ่งการปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกายเป็นประจำอาจช่วยได้ หรือคุณอาจต้องใช้ยา และหากอาการรุนแรง คุณอาจต้องเข้ารับผ่าตัดถุงน้ำดี
ถุงน้ำดีคืออะไร ?
ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะขนาดเล็กที่มีรูปร่างคล้ายถุงซึ่งอยู่ใต้ตับ มีจุดประสงค์เพื่อกักเก็บน้ำดีซึ่งเป็นสารที่ช่วยย่อยไขมัน เมื่ออาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กจากกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีจะได้รับสัญญาณให้เริ่มหดตัวและปล่อยน้ำดีเข้าสู่ลำไส้ คำว่า ‘โรคถุงน้ำดี’ ครอบคลุมถึงการอักเสบ การติดเชื้อ นิ่ว และการอุดตันของถุงน้ำดี
โรคนิ่วคืออะไร ?
โรคนิ่วเป็นโรคถุงน้ำดีรูปแบบหนึ่ง น้ำดีประกอบด้วยน้ำเกลือของน้ำดีและคอเลสเตอรอล หากน้ำดีมีคอเลสเตอรอลมากเกินไป และมีเกลือของน้ำดีไม่เพียงพอ หรือถุงน้ำดีไม่ว่างเปล่าอย่างเหมาะสม ถุงน้ำดีอาจก่อตัวสะสม หรือเรียกว่านิ่วหรือนิ่วในถุงน้ำดี
อาการจุกเสียดทางเดินน้ำดีคืออะไร ?
อาการจุกเสียดทางเดินน้ำดี (Biliary colic) เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับโรคถุงน้ำดี เป็นผลมาจากการอุดตันในท่อของถุงน้ำดี หากน้ำดีไม่สามารถออกจากถุงน้ำดี อาจเป็นเพราะมีนิ่ว ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ และเนื่องจากน้ำดีไม่ได้เข้าสู่ลำไส้เล็ก ไขมันในอาหารจะไม่ถูกย่อยสลายในระหว่างการย่อยอาหาร และอาจทำให้เกิดอาการปวดในช่องท้องส่วนบน และหลังรวมถึงอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน
อาการจุกเสียดทางเดินน้ำดีเป็นอย่างไร ?
อาการจุกเสียดของทางเดินน้ำดีทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในส่วนบนของช่องท้อง ซึ่งจะปรากฏขึ้น 1-2 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (เนื่องจากอาหารเย็นมักเป็นมื้อที่หนักที่สุด ความเจ็บปวดจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน) อาการปวดอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง
บางคนมีอาการปวดระหว่างสะบักหรือใต้ไหล่ขวา นอกจากอาการปวดและคลื่นไส้แล้ว อาการจุกเสียดทางเดินน้ำดีอาจมีอาการแบบมีแก๊ส ท้องอืด เหงื่อออกและ / หรือหนาวสั่น
การตั้งครรภ์มีผลต่อถุงน้ำดีอย่างไร ?
ปัญหาถุงน้ำดีมักพบบ่อยในการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนการตั้งครรภ์ช่วยเพิ่มการหลั่งคอเลสเตอรอล ในขณะเดียวกัน ฮอร์โมนการตั้งครรภ์อีกชนิดหนึ่งคือโปรเจสเตอโรนทำให้เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายคลายตัวและการปล่อยน้ำดีให้ช้าลง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การพัฒนาของนิ่ว สตรีมีครรภ์ที่เป็นนิ่วอยู่แล้วมีความเสี่ยงสูงที่นิ่วเหล่านี้จะไปขัดขวางการปล่อยน้ำดี
อาการของโรคถุงน้ำดีมักเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามหรือหลังคลอด แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเกิดอาการก่อนตั้งครรภ์ได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคถุงน้ำดี ?
ปัญหาในการตรวจหาจุดเริ่มต้นของโรคถุงน้ำดีในระหว่างตั้งครรภ์คือเราอาจสับสนกับการแพ้ท้อง อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงอยู่เกินช่วงไตรมาสแรก หรือหากคุณหรือแพทย์ของคุณสงสัยว่ามีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทำอัลตร้าซาวด์ การทำอัลตร้าซาวด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการวินิจฉัยภาวะถุงน้ำดี
แน่นอนว่าหากคุณเคยมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีมาก่อน คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อที่เขาจะได้ติดตามอาการของคุณในระหว่างตั้งครรภ์ และป้องกันไม่ให้โรคแย่ลง
ฉันมีความเสี่ยงต่อโรคถุงน้ำดีหรือไม่ ?
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคถุงน้ำดีมากกว่าผู้ชาย คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคถุงน้ำดีมากขึ้นหากคุณ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรค
- มีน้ำหนักเกิน (แม้ว่าจะอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น)
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือคอเลสเตอรอลสูง
- เป็นโรคเบาหวาน
- กำลังตั้งครรภ์หรือหลังคลอด
โรคถุงน้ำดีจะส่งผลต่อลูกน้อยหรือไม่ ?
ตะกอนสะสมหรือนิ่วไม่มีผลโดยตรงกับลูกน้อยของคุณ และส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคนิ่วมักไม่มีอาการใด ๆ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการที่ขัดขวางความสามารถในการบำรุงตัวเองและส่งต่อสารอาหารที่เพียงพอไปยังทารกที่กำลังพัฒนา หรือหากการอุดตันที่รุนแรงทำให้เกิดการอักเสบหรือการติดเชื้อ ลูกน้อยของคุณอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
โรคนิ่วในถุงน้ำดีในระหว่างตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการคลอดก่อนกำหนด การส่งตัวแม่ไปโรงพยาบาล และแม้แต่การเสียชีวิตของแม่และ / หรือทารกในช่วงแรกเกิด
โรคถุงน้ำดีรักษาอย่างไรในระหว่างตั้งครรภ์ ?
โดยทั่วไปเป้าหมายของการรักษาระหว่างตั้งครรภ์คือการลดอาการและภาวะแทรกซ้อน จากนั้นจึงรักษาตัวโรคเองหลังตั้งครรภ์
ขั้นตอนแรกในการรักษาถุงน้ำดีอักเสบคือการปรับเปลี่ยนอาหารและกินอาหารที่มีไขมันน้อยลง นั่นหมายความว่าถุงน้ำดีจะต้องทำงานน้อยลง สำหรับผู้หญิงหลายคนขั้นตอนนี้เพียงอย่างเดียวอาจเพียงพอที่จะบรรเทาอาการได้ การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยได้เช่นกัน หรือแพทย์ของคุณอาจสั่งยาให้
ต้องผ่าตัดถุงน้ำดีหรือไม่ ?
หากแพทย์ของคุณสั่งยาสำหรับปัญหาถุงน้ำดีและไม่สามารถบรรเทาได้อย่างเพียงพอ เขาจะประเมินผลของโรคและความเสี่ยงของการผ่าตัด เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงโดยทั่วไป แพทย์มักหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่ไม่เร่งด่วนในระหว่างตั้งครรภ์
แต่ถ้าการอักเสบรุนแรงหรือมีการติดเชื้อ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในไตรมาสใด หากคุณอยู่ในไตรมาสที่สาม แพทย์ของคุณอาจพยายามชะลอการผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปจนกว่าลูกจะคลอดถ้าเป็นไปได้
หากคุณจำเป็นต้องผ่าตัดถุงน้ำดีก็อาจต้องทำแบบส่องกล้อง ศัลยแพทย์จะทำการผ่าท้องเล็ก ๆ สองครั้ง เพื่อใส่เครื่องมือผ่าตัดและส่องกล้องเข้าไป การผ่าตัดผ่านกล้องนั้นจะมีกล้องขนาดเล็กที่ส่งภาพอวัยวะไปยังจอภาพวิดีโอ จากนั้นถุงน้ำดีถูกเอาออกได้โดยไม่ต้องสร้างแผลขนาดใหญ่ ซึ่งหมายความว่าคุณจะเจ็บน้อยลงและฟื้นตัวได้ง่ายขึ้น
สามารถเกิดปัญหาถุงน้ำดีหลังตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ?
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาการของโรคถุงน้ำดีจะปรากฏขึ้นในช่วง 2-4 เดือนหลังคลอด อาจเป็นเพราะฮอร์โมนการตั้งครรภ์ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นในช่วงเก้าเดือนก่อนหน้านี้ และต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่สิ่งต่าง ๆ จะกลับสู่สภาวะปกติ การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนหลังคลอดอาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน
ปัญหาของถุงน้ำดีอาจเป็นผลมาจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหลังคลอด เมื่อคุณเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็ว คอเลสเตอรอลส่วนเกินจะสะสมในน้ำดีซึ่งอาจนำไปสู่โรคนิ่ว
ทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาถุงน้ำดีหลังตั้งครรภ์ ?
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วหลังการตั้งครรภ์
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ซึ่งประกอบด้วยผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืช
- เพิ่มน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ให้ได้ตามปริมาณที่แนะนำ
- ลดน้ำหนักหลังคลอดให้ไม่เกินครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์หากคุณให้นมเอง
- ออกกำลังกายให้มาก ๆ
หากคุณมีโรคถุงน้ำดีที่ควบคุมได้ในระหว่างตั้งครรภ์และไม่จำเป็นต้องผ่าตัด สิ่งสำคัญคือต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างดี เพราะอาการอาจเกิดขึ้นในช่วงหลังคลอดหรือในช่วงชีวิตต่อไป ดังนั้น ควรมีการประเมินผลแม้ว่าคุณจะไม่มีอาการก็ตาม ซึ่งแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณเอาถุงน้ำดีออกเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ฉุกเฉินในภายหลัง
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th