“วัคซีน ChulaCov19” รุ่นแรกของไทย เริ่มฉีดทดลองในมนุษย์ครั้งแรกแล้ว
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าประเทศไทยเราได้มีการซุ่มทดลองวัคซีน COVID-19 มาสักระยะแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ “วัคซีน ChulaCov19” ที่ดำเนินการโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั่นเอง ความคืบหน้าของการทดลองวัคซีนตัวนี้จะเป็นอย่างไรนั้น Motherhood นำรายละเอียดมาฝากกันแล้วค่ะ
วันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทดสอบการฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครผู้ที่ผ่านการคัดกรองที่มีสุขภาพดีระยะที่ 1 และต่อเนื่องในระยะที่ 2 เพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีน ChulaCov19 (จุฬา-คอฟ-ไนน์ทีน) ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล ทีมนักวิจัย ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ แพทย์ พยาบาล บุคลากร เทคโนโลยีต่าง ๆ อันทันสมัย ได้มาตรฐาน เพื่อนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมถึงนักวิจัยทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่ร่วมกันพัฒนา วิจัย คิดค้นผลิตวัคซีน รวมถึงการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตและพร้อมฉีดให้กับอาสาสมัครแล้ว
วัคซีน ChulaCov19 เป็นการคิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย จากการสนับสนุนของแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ ศาสตราจารย์ดรูว์ ไวสส์แมน (Prof. Drew Weissman) แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย วัคซีนตัวนี้ผลิตโดยการสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา แต่ไม่มีการใช้ตัวเชื้อ ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป ร่างกายจะสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัส (Spike protein) ขึ้นมา และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด
โดยที่ผ่านมาทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทดลองในลิงและหนูประสบผลสำเร็จ และยังพบว่ามันสามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิตและทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรก โดยแบ่งการทดสอบได้ดังนี้
การทดสอบในระยะที่ 1 แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน
- กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
- กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
โดยในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าใด เพราะปัจจุบัน Moderna ใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วน Pfizer ใช้ 30 ไมโครกรัม ทางศูนย์ฯ จึงต้องศึกษาว่าคนไทยหรือคนเอเชียเหมาะกับการฉีดที่ 10 หรือ 25 หรือ 50 ไมโครกรัม จะได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิได้สูง หลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกในระยะที่ 2
การทดสอบในระยะที่ 2 จะทำการทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 150-300 คน ซึ่งคาดว่าเริ่มต้นฉีดได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
จุดเด่นของวัคซีน ChulaCov19
- จากการทดสอบความทนต่ออุณหภูมิของวัคซีน พบว่าวัคซีน ChulaCov19 สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานถึง 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ จึงทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีน COVID-19 ชนิด mRNA ของเจ้าอื่นเป็นอย่างมาก
- ผลการทดสอบในสัตว์ผ่านเกณฑ์ดีมาก จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรค COVID-19 ได้ พบว่าเมื่อหนูได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ในระยะห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อ COVID-19 เข้าทางจมูก วัคซีนนี้สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยเป็นโรคและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดได้ รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและปอดลงไปอย่างน้อย 10 ล้านเท่า เมื่อทดสอบความเป็นพิษก็พบว่าปลอดภัยดี ส่วนหนูที่ไม่ได้รับวัคซีนจะเกิดอาการป่วยภายใน 3-5 วัน และยังพบว่าหนูทุกตัวมีเชื้อสูงในกระแสเลือด จมูก และปอด
- วัคซีนชนิด mRNA เป็นวัคซีนที่สามารถผลิตได้เร็ว ไม่ต้องรอเพาะเลี้ยงเชื้ออย่างวัคซีนบางชนิด เพียงแค่รู้สายพันธุ์ของเชื้อก็สามารถออกแบบวัคซีนได้ จากนั้นนำไปสังเคราะห์ในหลอดทดลอง ไม่เกิน 4 สัปดาห์ก็จะมีวัคซีนมาใช้ทดสอบในหนู การผลิตวัคซีนได้รวดเร็วเช่นนี้ทำให้ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ หากเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อก็สามารถสังเคราะห์วัคซีนได้เร็วเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เตรียมความพร้อมพัฒนาทดลองวัคซีนรุ่นที่สองกับสัตว์ทดลองควบคู่กันไปกับรุ่นแรกข้างต้น เพื่อรองรับเชื้อที่ดื้อยาหรือเชื้อที่เกิดการกลายพันธุ์อย่าง สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ สายพันธุ์บราซิล สายพันธุ์อินเดีย ฯลฯ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th