เมื่อลูกน้อยเป็น “โรคเท้าปุก”
คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่เห็นว่าเท้าของลูกผิดปกติ เช่นเป็น “โรคเท้าปุก” หรืออาการอื่นจำพวกเท้าแป ก็คงจะเกิดความกังวลไม่น้อยว่าลูกเราจะเดินได้ปกติหรือไม่เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะถึงขั้นพิการหรือเปล่า และจะมีวิธีรักษาได้อย่างไร วันนี้ Motherhood เลยจะขอพาไปทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
โรคเท้าปุกจัดเป็นความผิดปกติที่เท้าซึ่งมักเกิดกับทารกตั้งแต่แรกเกิด ส่งผลให้มีเท้าบิดผิดรูปหรือผิดตำแหน่ง โดยอาจเกิดกับเท้าเพียงข้างเดียวหรือเกิดทั้ง 2 ข้างก็ได้ แพทย์มักแนะนำให้เด็กที่เป็นโรคนี้เข้ารับการรักษาทันทีหลังคลอด เพราะหากปล่อยไว้จนเด็กเข้าสู่วัยที่เริ่มยืนหรือเดินได้แล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงถึงขั้นไม่สามารถเดินได้ แต่เด็กส่วนมากสามารถหายเป็นปกติได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดแต่อย่างใด
อาการของโรคเท้าปุก
เด็กที่ป่วยจะมีลักษณะขาและเท้าที่ผิดปกติ ดังนี้
- เท้าโค้งงอผิดรูป หลังเท้าพลิกลงพื้น ขณะที่ส้นเท้าบิดเข้าด้านใน หากไม่ได้รับการรักษาอาจพบว่าเท้าบิดเข้าด้านในมากขึ้นอีก จนเด็กต้องใช้หลังเท้าเป็นจุดรับน้ำหนักขณะยืนหรือเดิน
- กล้ามเนื้อน่องของขาข้างที่เท้าผิดปกติจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
- เท้าข้างที่ผิดปกติมีขนาดเล็กกว่าเท้าข้างปกติ โดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 นิ้ว
อย่างไรก็ตาม เท้าที่บิดและผิดรูปนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ กับเด็ก ถึงกระนั้นก็ควรให้เด็กได้รับการรักษาทันที มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการยืนหรือการเดินในอนาคตได้
สาเหตุของโรค
เกิดจากการมีเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณเท้าที่สั้นกว่าปกติ ซึ่งทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดปกติดังกล่าวได้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าเด็กที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมต่อไปนี้ อาจมีความเสี่ยงมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ
- เด็กที่มีบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวเคยเป็นโรคเท้าปุก โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่
- เด็กที่เป็นโรคพิการแต่กำเนิด ที่มีความผิดปกติของกระดูก อย่างโรคสไปนาไบฟิดา (Spina bifida) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวพันรอบกระดูกสันหลังไม่เชื่อมต่อกัน
- เด็กที่เมื่อยังเป็นทารกในครรภ์ได้อาศัยอยู่ในมดลูกที่มีน้ำคร่ำไม่เพียงพอ
- คุณแม่สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติด หรือเกิดการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
การวินิจฉัยโรค
โดยปกติแล้วแพทย์จะสามารถวินิจฉัยอาการได้จากการสังเกตลักษณะผิดปกติของเท้าทารกได้ตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจต้องใช้การอัลตราซาวด์ตรวจดูลักษณะเท้าของทารกตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์ ดังนั้น เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ควรไปฝากครรภ์กับโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน และไปพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากพบความผิดปกติใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับทารก ก็จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนรักษาได้แต่เนิ่น ๆ
การรักษา
การรักษาสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ดังนี้
- การดัดเท้าและเข้าเฝือก โดยปกติแพทย์จะแนะนำให้เด็กที่มีอาการไม่รุนแรงให้เข้ารับการรักษาภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด โดยให้เข้าเฝือกแบบพอนเซตี้ (Ponseti method) คือ การดัดเท้าที่มีลักษณะผิดปกติให้กลับมาเป็นปกติทีละน้อยด้วยการเข้าเฝือกแข็งเพื่อคงรูปเท้าเอาไว้ และเปลี่ยนเฝือกนี้ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ หลังจากนั้นเด็กจะต้องใส่เฝือกอ่อนหรืออุปกรณ์ดามเท้า เพื่อช่วยป้องกันเท้าคืนตัวผิดรูปอีก ซึ่งจะต้องใส่ไว้ตลอดเวลาในช่วง 3 เดือนแรกหลังจากถอดเฝือกแข็ง ยกเว้นตอนอาบน้ำ จากนั้นจึงใส่เฉพาะตอนกลางคืนต่อไปอีกจนเด็กมีอายุประมาณ 4-5 ปี
- การผ่าตัด สำหรับเด็กที่มีเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณเท้าสั้นและตึงจนไม่สามารถดัดเท้าได้ แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดยืดเส้นเอ็นบริเวณเข่าและเท้า หรือผ่าตัดย้ายเอ็นกล้ามเนื้อเพื่อให้สามารถดัดเท้ากลับมาเป็นรูปร่างปกติได้ ส่วนเด็กโตอาจจำเป็นต้องผ่าตัดยืดเส้นเอ็นร่วมกับผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก โดยแพทย์จะใช้แผ่นโลหะหรือสลักเกลียวยึดเท้าเอาไว้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นจึงเข้าเฝือกแข็งเพื่อค่อย ๆ ดัดเท้าให้มีรูปร่างเป็นปกติต่อไป
ภาวะแทรกซ้อน
เด็กที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแต่เนิ่น ๆ มักสามารถยืนหรือเดินได้ตามปกติโดยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม เด็กบางรายอาจประสบปัญหาเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวก หรือหารองเท้าที่พอดีกับเท้าได้ยาก เพราะเท้าข้างที่ผิดปกติมักมีขนาดเล็กกว่าเท้าข้างที่ปกติ
ส่วนเด็กที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- โรคข้ออักเสบ เป็นการอักเสบบริเวณข้อต่อ ส่งผลให้รู้สึกปวดตามข้อและมีอาการข้อติดแข็ง
- การเดินผิดปกติ เพราะใช้ด้านข้างเท้าหรือหลังเท้าเป็นจุดรับน้ำหนักแทนการใช้ฝ่าเท้า ทำให้ปวดเท้าจนถึงขั้นใส่รองเท้าไม่ได้ นอกจากนั้น การเดินที่ผิดปกติอาจส่งผลให้เกิดแผลหรือตาปลาที่เท้าตามมาได้เช่นกัน
เด็กบางคนอาจเกิดรู้สึกกังวลต่อภาพลักษณ์ของตนเองเนื่องจากการเดินที่ผิดปกติ จนอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจได้ในอนาคต
ป้องกันได้หรือไม่ ?
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันงทำได้ค่อนข้างยาก แต่ผู้ตั้งครรภ์อาจะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเท้าปุกของทารกในครรภ์ได้โดย หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่มือสอง รวมทั้งไม่เสพสารเสพติดต่าง ๆ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th