โรคไข้เลือดออก กลับมาระบาดอีกแล้วในหน้าฝนนี้
เรารู้จัก “โรคไข้เลือดออก” กันมานานแล้วนะคะ และในช่วงหน้าฝนอย่างนี้มันก็กลับมาระบาดอีกครั้ง อีกทั้งยังพบได้มากในแทบจะทุกเพศทุกวัย ต่างจากสมัยก่อนที่พบในเด็กเล็กเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่คนเป็นพ่อแม่อย่างเรา ๆ ก็กังวลว่าลูกรักจะติดเชื้อไข้เลือดออกแบบรุนแรง ดังนั้น วันนี้เราจะมาดูข้อสังเกตและสัญญาณอันตรายของการเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงกันค่ะ
โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever)
สาเหตุของโรค
ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าไวรัสเดงกี (Dengue virus) เชื้อไวรัสนี้ติดต่อในคนโดยการถูกยุงลายกัด ซึ่งทั้งยุงลายบ้าน (ที่มักวางไข่ในภาชนะซึ่งมีน้ำในบ้าน) และยุงลายสวน (ที่มักวางไข่ในที่ที่มีน้ำขังนอกบ้าน) สามารถนำเชื้อไวรัสนี้มาสู่คนได้ เชื้อไวรัสเดงกีมีระยะฟักตัวในยุงลายประมาณ 8-10 วัน หลังจากที่ถูกกัดแล้วจะมีระยะฟักตัวในคนประมาณ 5-8 วัน
เชื้อไวรัสเดงกีปัจจุบันมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่-1, เดงกี่-2, เดงกี่-3 และ เดงกี่-4 ซึ่งทั้ง 4 สายพันธุ์จะมี Antigen ร่วมบางชนิด จึงทำให้มีปฏิกิริยาข้ามกัน (Cross reaction) และการต้านเชื้อข้ามกัน (Cross protection) ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่งแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีชนิดนั้นตลอดไป (Long lasting homotypic immunity) และจะมีภูมิคุ้มกัน Cross protection ต่อชนิดอื่น (Heterotypic immunity) ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 6-12 เดือน ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีไวรัสเดงกีชุกชุมอาจมีการติดเชื้อ 3-4 ครั้งได้
ปัจจัยเสี่ยงของโรค
โดยทั่วไปสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักพบบ่อยในเด็กวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการติดโรคแบบรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่
- เด็กทารกและผู้สูงอายุ
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างมีประจำเดือนหรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- ผู้ที่มีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย หรือโรคที่เกิดจากฮีโมโกลบินผิดปกติ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด หอบหืด ตับแข็ง ไตวาย
- ผู้ที่รับประทานยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) หรือยาในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs)
วิธีการติดต่อโรค
โรคสามารถติดต่อกันได้โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นแมลงนำโรคที่สำคัญ และในชนบทบางพื้นที่จะมียุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นแมลงนำโรคร่วมกับยุงลายบ้าน เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย พร้อมที่จะเข้าสู่คนที่ถูกกัดเป็นรายต่อไป เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นป่วยได้
อาการของโรค
ไข้เลือดออกอาจแสดงอาการเพียงไข้อย่างเดียว ซึ่งในบางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปวดตามเนื้อตัว ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ อาจมีผื่นแดงขึ้น และบางรายอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร แต่โดยปกติผู้ป่วยมักไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก
ระยะของโรค
1. ระยะไข้สูง
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีไข้สูงร่วมกับอาการต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ระยะนี้จะใช้เวลาราว 3-7 วัน เมื่อได้รับยาลดไข้ ไข้ก็จะลง หลังจากหมดฤทธิ์ยา ไข้ก็จะกลับสูงขึ้นอีก ในระยะนี้ถ้าไม่มีเลือดออกมาก โดยปกติไม่ทำให้เกิดอาการที่รุนแรงนัก ผู้ป่วยอาจดูซึมลง รับประทานอาหารได้น้อยลง ระยะนี้เป็นระยะที่ตรวจพบไวรัสเดงกีในเลือด และถ้ายุงมากัดผู้ป่วย ยุงก็จะเป็นพาหะของโรคต่อไป
2. ระยะวิกฤต
ผู้ป่วยบางคนหลังไข้ลงแล้วจะเข้าสู่ระยะนี้ ซึ่งจะมีการรั่วของน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด ทำให้มีอาการเหมือนสูญเสียของเหลวหรือเลือดจากร่างกาย จึงมีความดันเลือดต่ำจนถึงอาการช็อกได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น เด็กบางคนจะดูตัวลาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้อวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว ซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ในระยะนี้ผู้ป่วยบางคนอาจมีเลือดออกมาก โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการช็อกได้มากขึ้น ระยะนี้โดยทั่วไปจะกินเวลาราว 1-2 วัน
3. ระยะฟื้น
หลังระยะไข้สูงผ่านพ้นไปก็จะเข้าสู่ระยะนี้ทันที บางคนถ้าเข้าสู่ระยะวิกฤตแล้ว 1-2 วัน ก็จะเข้าสู่ระยะนี้ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากรับประทานอาหารมากขึ้น มีผื่นแดงที่มีวงขาวขึ้นตามตัว มีอาการคันตามตัวและตามฝ่ามือฝ่าเท้า ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วยกำลังจะหายจากโรคและเป็นระยะปลอดภัย
การวินิจฉัยโรค
เนื่องจากอาการของโรคไข้เลือดออกในระยะแรก ๆ อาจจะคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้จากสาเหตุอื่น ดังนั้น นอกเหนือจากการสังเกตอาการและซักประวัติของผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจเพิ่มเติมและตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติของส่วนประกอบทั้งหมดของเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และความเข้มข้นของเลือด
- ตรวจภูมิคุ้มกันต่อไข้เลือดออก (IgM) ตรวจ NS1 Ag ต่อเชื้อโดยตรง ตรวจ PCR เพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกี
การรักษาโรค
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ โดยจุดมุ่งหมายคือทำให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งในรายที่อาการไม่รุนแรงโรคก็อาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน
การป้องกันโรค
สิ่งสำคัญคือการป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัดโดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงชนิดต่าง ๆ เช่น DEET และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและใกล้เคียง โดยการไม่ให้มีน้ำขังในภาชนะ ปิดภาชนะที่ใส่น้ำเพื่อไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่ได้ เปลี่ยนน้ำในภาชนะที่ปิดไม่ได้ เช่น แจกัน ทุกสัปดาห์ ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว ต้องหมั่นปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาดปราศจากเศษวัสดุที่อาจมีน้ำขัง
ในปัจจุบันกำลังมีการศึกษาถึงวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่นะคะ Motherhood ก็หวังว่าเรามีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพออกมาให้ได้ใช้กันในเร็ววันค่ะ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th