หากแม่ท้องเป็น “โรค APS” ก็เสี่ยงแท้งลูกได้
การดูแลสุขภาพของแม่ตั้งครรภ์คือเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะหมายความว่าสุขภาพของทารกในครรภ์จะดีตามไปด้วย แต่หากคุณเกิดเป็น “โรค APS” ขึ้นมา เท่ากับว่าความเสี่ยงในการสูญเสียทารกไปก็มีเพิ่มขึ้น แล้วเราจะป้องกันไม่ให้เกิดได้หรือไม่ หรือหากเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ เราสามารถรักษาไม่ให้อาการมันบานปลายได้หรือเปล่า วันนี้ Motherhood จะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับโรคนี้กันให้มากขึ้นค่ะ
โรค APS คืออะไร ?
Antiphospholipid Antibody Syndrome หรือโรคลิ่มเลือดอุดตัน เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นสาเหตุทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งอาจเกิดที่เส้นเลือดแดงหรือเส้นเลือดดำก็ได้ สามารถพบได้ทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์ ทำให้การตั้งครรภ์ผิดปกติ การเจริญของทารกในครรภ์ต่ำกว่าปกติ การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ โดยที่ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดการแท้งลูกโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดภาวะทารกโตช้าในครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย หรือในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้หากแม่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอัตราในการสูญเสียทารกก็มีมากถึง 90% เลยทีเดียว
สาเหตุของ APS
สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด สามารถพบโรคนี้ได้ 2-4% ของคนทั่วไป แต่มีการสันนิษฐานกันว่าอาจเป็นผลของ Antiphospholipid ซึ่งเป็น Antibody เชื่อมต่อเยื่อบุชั้นในของเกล็ดเลือดหรือส่วนประกอบการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดความผิดปกติของผนังด้านในของหลอดเลือด โดยมีภูมิคุ้มกันในร่างกายมาเป็นตัวกระตุ้น ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ความผิดปกตินี้มักเกิดขึ้นหลังจากมีการติดเชื้อภายในร่างกาย
อาการของ APS
ขาบวมมากกว่าปกติ อาจบวมข้างเดียวหรือบวมทั้งสองข้างก็ได้ ซึ่งอาการบวมนี้แสดงว่าอาจมีการอุดตันเกิดขึ้นในหลอดเลือด ทำให้ปวดขามากจนเดินไม่ไหว จากที่ปกติแม่ท้องมีอาการขาและเท้าบวมอยู่แล้วแต่จะไม่ปวด หากมีอาการของโรคนี้ เมื่อเอามือกดบริเวณที่บวมแดงจะรู้สึกปวดมาก
การที่หลอดเลือดอุดตันได้นั้นเป็นเพราะมีลิ่มเลือดเกิดขึ้น หากลิ่มเลือดก้อนนี้หลุดออกไปอุดเส้นเลือดใหญ่ภายในร่างกาย เช่น ไปอุดหลอดเลือดที่ปอด ก็จะทำให้ปอดเกิดภาวะขาดออกซิเจนและมีโอกาสเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน พบได้ประมาณร้อยละ 12-15
การวินิจฉัยโรค
ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัยและไม่เป็นอันตรายกับแม่ท้อง คือ การทำดอปเลอร์ อัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจการไหลเวียนเลือดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ทำให้เห็นการไหลเวียนของเลือดว่าไหลช้าหรือไม่ มีการอุดตันหรือไม่ ซึ่งมีความไวในการวินิจฉัยที่ 95% และมีความแม่นยำถึง 99% เมื่อตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่ามีแนวโน้มของโรค สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือหาสาเหตุของโรคเพื่อรักษาที่ต้นเหตุ
การรักษาโรค
หากเป็นโรคนี้ขณะที่กำลังตั้งครรภ์ วิธีการรักษาคือการให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งยาละลายลิ่มเลือดมีทั้งยาฉีดและยากิน
- ยากินมักจะให้เป็นแอสไพรินขนาดต่ำ ซึ่งช่วยป้องกันลิ่มเลือดโดยการปิดกั้นการรวมตัวของเกล็ดเลือด
- การฉีดเฮปารินขนาดต่ำเพื่อป้องกันโรค (ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ป้องกันความสามารถในการแข็งตัวของเลือด) ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ข้อควรระวังของยาฉีดคือต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ ห้ามฉีดเอง แต่ก็มีข้อดีคือ ยาฉีดเป็นยาที่ไม่ผ่านน้ำนมและรก เพราะฉะนั้นจึงงไม่มีผลกับทารกในครรภ์ สำหรับยากิน ตัวยาจะผ่านน้ำนมและผ่านรก ซึ่งระหว่างตั้งครรภ์จะไม่ให้กินยานี้ในช่วง 3 เดือนแรก เพราะยาละลายลิ่มเลือดบางชนิดอาจส่งผลให้ทารกในครรภ์พิการได้
นอกเหนือจากการรักษาที่อธิบายไว้แล้ว อาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดีสามารถกำหนดเพื่อลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนที่เกิดจากเฮปาริน (ความแข็งแรงของกระดูกลดลง) ยาเหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทั้งแม่และลูก
ผู้ป่วย APS ควรทำอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์ ?
หลังจากยืนยันการตั้งครรภ์แล้ว ผู้ป่วยควรพบแพทย์โรคข้อและสูติแพทย์โดยเร็วที่สุด วัตถุประสงค์ของการพบแพทย์คือเพื่อประเมินสถานะสุขภาพ โดยการตรวจร่างกายและการตรวจเลือด ตลอดการตั้งครรภ์ การมาตรวจครรภ์เป็นประจำ (มาบ่อยขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3) การตรวจเลือดและปัสสาวะ การวัดความดันโลหิต และการตรวจอัลตราซาวนด์ทางสูติกรรมเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยเองและสมาชิกในครอบครัวควรทำความคุ้นเคยกับอาการต่อไปนี้ซึ่งต้องไปพบแพทย์ทันที
- สัญญาณเริ่มต้นของลิ่มเลือด ได้แก่ อาการชา บวม หรือปวดที่ขาและแขนกะทันหัน รวมทั้งหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด หรือเสมหะเป็นเลือด อัมพาตหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าหรือแขนขา การพูดไม่ชัด และการเปลี่ยนแปลงทางสายตา
- สัญญาณของโปรตีนที่เพิ่มขึ้นในปัสสาวะ ได้แก่ ปัสสาวะเป็นฟองหรือบวมที่มือ เท้า หรือใบหน้า
- สัญญาณของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (การลดลงของเกล็ดเลือด – ส่วนประกอบในเลือดที่ควบคุมการแข็งตัวของเลือด) ซึ่งรวมถึงเลือดออกจากปากหรือจมูก อุจจาระเป็นเลือดหรือสีเข้ม ปัสสาวะเป็นเลือด และมีรอยฟกช้ำหรือจุดสีแดงบนผิวหนัง
- สัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และการมองเห็นเปลี่ยนไป
นอกจากจะพร้อมที่จะดำเนินการทันทีหากเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น ผู้ป่วย APS ควรจัดให้มีการคลอดบุตรที่โรงพยาบาลด้วยแผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิดและสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นสูงอื่น ๆ เพื่อให้การดูแลเฉพาะสำหรับผู้ป่วย APS และทารกของพวกเขาตามความจำเป็น
เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ป่วย APS จะคลอดธรรมชาติ ?
หากแม่และทารกแข็งแรงในขณะที่คลอด การคลอดธรรมชาติก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หากแม่และ/หรือทารกอยู่ภายใต้ความเครียด หรือในกรณีของการคลอดก่อนกำหนด การผ่าตัดคลอดอาจเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเร็วที่สุดในการคลอด
แม่ที่เป็น APS ควรทำอย่างไรหลังคลอด ?
หลังจากการคลอด ผู้ป่วย APS จะต้องติดตามผลกับแพทย์โรคข้อเป็นประจำเพื่อติดตามโรคของตนเอง แนะนำให้ฉีดเฮปารินใต้ผิวหนังเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์หลังคลอดเพื่อป้องกันลิ่มเลือด
ข้อควรระวังพิเศษ เช่น ถุงน่องแบบเนื้อซัพพอร์ต และการเคลื่อนไหวตัวในระยะแรก เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันและสำหรับผู้ที่เคยผ่าตัดคลอด สำหรับตัวเลือกการคุมกำเนิดควรปรึกษากับสูตินรีแพทย์ แต่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน เนื่องจากยาเหล่านี้สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดลิ่มเลือดได้
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th