Site icon Motherhood.co.th Blog

9 เคล็ดลับเพื่อการ “ทำงานที่บ้าน” ให้ได้ผลดี

ทำงานที่บ้านให้ได้ผลดี

9 เคล็ดลับที่จะทำให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิผลที่ดี

9 เคล็ดลับเพื่อการ “ทำงานที่บ้าน” ให้ได้ผลดี

ในช่วงนี้คิดว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่ทำงานนอกบ้านในยามปกติ ทางบริษัทคงจะมีนโยบายให้ “ทำงานที่บ้าน” กันแล้วนะคะ วันนี้ Motherhood เลยจะนำเอาเคล็ดลับดี ๆ มาฝากกัน เพื่อให้การ Work from home ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น และได้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ติดตามอ่านได้เลย

สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านหรือคนที่ไม่มีบริเวณนั่งทำงานที่ดีพอ ก็อาจจะมีสิ่งที่เข้ามารบกวนหรือเบี่ยงเบนความสนใจทำให้คุณทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะมันคือการอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่คุณมี มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบมืออาชีพ คุณยังคงมีผ้าที่จะต้องเอาไปซัก มีจานให้ล้าง และมีการทำความสะอาดบ้าน คุณอาจจะอยากเปิดทีวีดูซีรีส์สักเรื่อง เพราะคุณไม่สามารถทำมันได้ที่ออฟฟิศ บางทีสุนัขของคุณก็อาจจะรบเร้าให้คุณพาออกไปเดินเล่น ในขณะที่สามี ภรรยา หรือลูกน้อยก็อาจจะตะโกนถามอะไรสักอย่างกับคุณมาจากอีกห้องในบ้าน ทำให้คุณต้องหยุดคิดเพื่อตอบพวกเขา หรือในทางกลับกัน การที่คุณอยู่บ้านตลอดทั้งวัน คุณอาจจะพบว่าตัวเองต้องทำงานล่วงเวลา ทั้ง ๆ ที่ปกติคุณเลือกที่จะ “เลิกงาน” หากคุณไปทำงานที่ออฟฟิศ

ไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จ แต่การทำงานต้องไม่ทำร้ายทั้งสุขภาพกายและใจ

เคล็ดลับการเพิ่มประสิทธิผลสำหรับการทำงานที่บ้าน

หากคุณไม่คุ้นเคยกับการทำงานที่บ้าน คุณอาจต้องทำความคุ้นเคยกับความท้าทายใหม่ ๆ เหล่านี้ ที่คุณอาจไม่มีพื้นที่สำหรับทำสำนักงาน การกำหนดหมายงานต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้านั้นเป็นอีกสิ่งที่จำเป็น คุณยังจะต้องหลีกเลี่ยงการงีบหลับกลางวัน หรือการรับประทานอาหารมื้อระหว่างทำงานอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนกับตอนที่คุณทำงานในออฟฟิศแล้วขับรถออกไปกินไกล ๆ กว่าจะกลับเข้ามาในช่วงบ่าย คุณอาจจะเคยคิดว่าการเพลงเปิดฮิตสุดโปรดอาจจะช่วยกระตุ้นให้คุณมีประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ในทางกลับกัน เสียงดังอาจจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับคุณที่จะจดจ่อและทำงานให้เสร็จ ทุกคนล้วนแตกต่างกัน บางคนทำงานได้ดีภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถมีสมาธิได้เลยนอกเสียจากว่าจากพื้นที่ทำงานของพวกเขาจะเป็นระเบียบ นี่คือเคล็ดลับบางประการที่จะอำนวยความสะดวกในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตการทำงานรูปแบบใหม่ของคุณในระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19

1. จำกัดพื้นที่การทำงานของคุณ

คุณต้องเลือกหาพื้นที่การทำงานเฉพาะตัวของคุณที่จะไม่รบกวนสมาชิกคนอื่นภายในบ้าน และพวกเขาจะไม่มาทำอะไรที่ก้าวก่ายการทำงานของคุณหรือทำให้คุณเสียสมาธิ ควรหาพื้นที่เพื่อเป็นโต๊ะทำงานอย่างดี แทนที่จะนั่งเช็คอีเมลหน้าโทรทัศน์ หรือนำกระดาษจากแฟ้มงานวางแผ่กระจายบนโต๊ะในครัว ทำให้พื้นที่ของคุณเป็นเขตปลอดความเครียดที่เงียบและสันโดษ เพื่อให้คุณสามารถมีสมาธิจดจ่อกับงานได้อย่างดี หากคุณไม่มีห้องแยกต่างหาก ให้ค้นหาพื้นที่ที่มีการจราจรน้อยที่สุดหรือมุมห้องที่อยู่ห่างจากพื้นที่หลักของบ้าน

2. ปิดกั้นเสียงรบกวน

ปิดกั้นเสียงรบกวนจากสุนัขเพื่อนบ้านที่เห่า เสียงดังจากสมาชิกในครอบครัวเอง หรือเสียงจากการจราจรนอกบ้าน ด้วยหูฟังประเภท Noise-cancelling มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานของดนตรีเบา ๆ กับเสียงของธรรมชาติที่ผ่อนคลาย เช่น น้ำตก เม็ดฝน หรือเสียงน้ำในมหาสมุทร จะช่วยทำให้ส่วนที่สงบของสมองมีสมาธิมากขึ้น และยังช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจรวมทั้งความดันโลหิตได้ด้วย

หากไม่มีโต๊ะทำงาน ก็ต้องจัดหามุมสำหรับทำงานไว้นั่งทำเป็นประจำ

3. ทำงานในที่ประจำ

ไปทำงานยังสถานที่ที่คุณกำหนดไว้เป็นประจำ เพื่อให้จิตใจของคุณไม่สัดส่าย คุณจะได้มีสมาธิจดจ่อกับงานและเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน ขอบเขตทางจิตวิทยาก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ คุณจะต้องกำหนดมันไว้เพื่อไม่ให้คุณรู้สึกถึงยิ่งเย้ายวนรอบ ๆ ตัวคุณ เช่น เค้กช็อกโกแลตที่อยู่ในตู้เย็น หรืองานบ้านที่ยังไม่เสร็จ ซึ่งมีส่วนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคุณลดลง และทำกิจกรรมส่วนตัวเหล่านี้ให้เสร็จนอกเวลาทำงานตามปกติ

4. กำหนดของเขตทางกายภาพ

คุณต้องกำหนดของเขตของพื้นที่การทำงานของคุณไม่ให้มีบุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว กำหนดข้อตกลงให้ชัดเจนและให้สมาชิกในบ้านรับทราบด้วย เช่น จะไม่มีการขัดจังหวะจากห้องอื่นหากคุณกำลังหมกมุ่นกับงาน ยกเว้นแต่มีเรื่องฉุกเฉิน ถ้าเป็นไปได้ ให้คุณไปยังพื้นที่ที่กำหนดไว้เพื่อทำงาน และยึดถือการทำงามตามตารางปกติ รักษาพื้นที่การทำงานของคุณไว้ให้นานที่สุดหลังจากเริ่มทำงานไปแล้วหลายชั่วโมง และอย่าลืมที่จะรักษาเวลาของการทำงานให้เหมือนกับการไปทำงานที่ออฟฟิศ เพื่อให้คุณไม่ต้องโหลดภาระงานหนักจนเกินไป

5. เก็บเครื่องมือหลังจบงาน

หลังจากทำงานมาทั้งวัน ให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือทำงานต่าง ๆ ออกไปให้พ้นสายตา เหมือนกับการเก็บเครื่องมือช่างไม้หลังจากสร้างชั้นวางเสร็จ หรือเก็บอุปกรณ์เบเกอรี่หลังจากอบเค้กแล้ว การเก็บสิ่งที่คอยแจ้งเตือนเรื่องงานให้พ้นสายตาจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่

ควรจำกัดพื้นที่ในการทำงานให้มีแต่คุณเท่านั้น เพื่อความมีสมาธิ

6. กีดกันการบุกรุกส่วนบุคคล

หากคุณเป็นแพทย์หรือเป็นครู คงไม่มีเพื่อนหรือสมาชิกในบ้านคนไหนแวะไปคุยเล่นกับคุณถึงห้องผ่าตัดหรือในห้องเรียนที่คุณสอน แต่เพื่อนผู้หวังดีหรือสมาชิกในครอบครัวบางคนก็อาจจะมองว่าการทำงานที่บ้านนั้นต่างออกไป การแวะเวียนมาทักทาย มาพูดเล่นด้วย ของพวกเขาจะทำให้คุณหลุดโฟกัสจากงาน ทำให้เกิดการผัดวันประกันพรุ่ง หรือยืดเวลางานออกไป มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องจำกัดการบุกรุกพื้นที่การทำงานของคุณ โดยแจ้งให้พวกเขาทราบว่าแม้การทำงานของคุณจะเปลี่ยนไป แต่การทำงานของคุณก็ยังต้องการความเป็นส่วนตัวและบรรยากาศการทำงานที่เข้มข้น แจ้งให้ทราบว่าตลอดการทำงานหมายถึงว่าพวกคุณจะไม่ว่างและไม่สามารถถูกรบกวนได้ รวมทั้งบอกให้พวกเขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณสะดวกที่จะพูดคุยอีกครั้ง

7. การสื่อสารผ่านวิดีโอ

การสื่อสารผ่านวิดีโอของคุณอาจจะเกิดขึ้นมากกว่าที่คุณทำอยู่แล้วปกติ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีอุปกรณ์การสื่อสารทางโทรศัพท์ของบริษัท เช่น Zoom ติดตั้งและพร้อมใช้งาน เพื่อให้คุณสามารถติดต่อกับสมาชิกในทีมหรือเพื่อนร่วมงานได้ และคุณพร้อมที่จะใช้งานมันสำหรับการประชุมทางไกล หากคุณเริ่มรู้สึกเหงา ลองพิจารณาตั้งกลุ่มสำหรับเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่กำลังทำงานที่บ้าน นัดแนะช่วงเวลาที่จะพบปะกันทางออนไลน์ และแบ่งปันวิธีการอันสร้างสรรค์ที่ช่วยให้ทุกคนปรับตัวเข้ากับสถาการณ์ชีวิตรูปแบบใหม่นี้

8. หลีกเลี่ยงการจับเจ่าในห้อง

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่คุณใช้ชีวิตภายในบ้านอย่างไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ ออกไปภายนอกตัวบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ออกไปทำสวน หรือออกไปเดินยืดเส้นยืดสายรอบ ๆ ตึก การวิจัยมากมายล้วนแสดงให้เห็นว่าการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติจะช่วยลดระดับความเครียดลงได้ ช่วยให้คุณผ่อนคลาย และล้างใจจากการทำงาน หลังเลิกงานก็พาตัวเองไปทำกิจกรรมที่เพลิดเพลินยังมุมอื่น ๆ ของบ้านบ้าง ไม่ว่าจะดูหนังดี ๆ อ่านหนังสือที่น่าสนใจ หรือทำอาหารสูตรใหม่ ๆ การรักษาระยะห่างทางสังคมเช่นนี้ คุณสามารถใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ได้โดยการเชื่อมต่อหาเพื่อน ๆ และบุคคลที่คุณห่วงใย

อย่าจับเจ่าอยู่แต่ในห้องตัวเอง ควรออกมาผ่อนคลายกับธรรมชาติบ้าง

9. มีทัศนคติที่ดีอยู่เสมอ

อย่าปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ในตัวหดหายไป และเหนือสิ่งอื่นใดอย่าปล่อยให้สถานการณ์ที่คุณต้องใช้ชีวิตอย่างจำกัดมาทำลายความสุข ความสงบ และการทำงานอย่างมีประสิทธิผลของคุณ พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือทัศนคติที่เป็นบวกของคุณ เมื่อคุณมองหาข้อดีภายใต้สถานการณ์ที่เป็น “ขาลง” เช่นนี้ และค้นหาว่ามีสิ่งใดบ้างที่คุณสามารถควบคุมมันได้ มีอะไรบ้างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ มันก็จะเป็นการง่ายขึ้นที่คุณจะยอมรับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ จะเป็นการดีกว่าที่คุณจะมองหาโอกาสในความยากลำบากนี้ แทนที่จะมองเห็นแต่ความยากลำบากของชีวิตในรูปแบบใหม่ ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาอันจำกัดนี้เพื่อจัดบ้าน เพื่อทำสวน หรือทดลองงานอดิเรกใหม่ ๆ ที่คุณยังไม่เคยทำ

อย่างไรก็ตาม Motherhood เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนที่จะต้องปรับรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงนี้นะคะ มีทัศนคติที่ดีเข้าไว้ และหมั่นดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เราก็จะผ่านช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจนี้ไปด้วยกันได้แน่นอนค่ะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th