ท้องนอกมดลูก มีสาเหตุจากอะไร ป้องกันได้ไหม
มีปัญหาและภาวะหลายอย่างที่สามารถทำให้คุณแม่ท้องเกิดความกังวล “ท้องนอกมดลูก” ก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่คุณแม่ท้องและคุณแม่มือใหม่หลายคนไม่อยากเผชิญกับมัน แต่เราจะมีวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มาเรียนรู้สาเหตุและวิธีหลีกเลี่ยงต้นตอของปัญหากันค่ะ
ตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) เป็นภาวะที่ไข่ได้รับการผสมกับสเปิร์มแล้วกลายเป็นตัวอ่อนฝังตัวอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ผนังมดลูก มักเกิดขึ้นบริเวณท่อนำไข่หรือปีกมดลูก ทำให้ตัวอ่อนที่ฝั่งบริเวณนั้นไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารกได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดเนื้อเยื่อเจริญเติบโตจนสร้างความเสียหายแก่ท่อนำไข่ และมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สัญญาณสำคัญของการท้องนอกมดลูก เพื่อไปพบแพทย์ให้ทันเวลา เช่น มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดเล็กน้อย รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ปวดไหล่ หน้ามืดเป็นลม หรือช็อค
อาการท้องนอกมดลูก
ในระยะแรกของการตั้งครรภ์นอกมดลูกมักไม่มีอาการสำคัญที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด หรืออาจมีอาการที่คล้ายสัญญาณการตั้งครรภ์ทั่วไป เช่น
- ประจำเดือนไม่มา
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดเล็กน้อย
- เจ็บหน้าอก
- รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ
ส่วนอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญของการท้องนอกมดลูกที่มีอาการป่วยรุนแรงมากขึ้น และผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันที เนื่องจากเนื้อเยื่ออาจก่อความเสียหายแก่ท่อนำไข่หรือทำให้ท่อนำไข่ฉีกขาด ได้แก่
- ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดจำนวนมาก
- ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดบริเวรทวารหนัก
- หน้ามืดเป็นลม วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- เกิดภาวะช็อค
สาเหตุของการท้องนอกมดลูก
อาการมักเกิดขึ้นภายในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังไข่ผสมกับสเปิร์ม โดยทั่วไปไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะยังอยู่ในท่อนำไข่ประมาณ 3-4 วัน ก่อนเคลื่อนเข้าไปฝังตัวในผนังมดลูก แล้วเกิดการตั้งครรภ์จนพัฒนาเป็นตัวอ่อนเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกไปเรื่อย ๆ แต่การท้องนอกมดลูกนั้นเกิดจากไข่ที่ผสมแล้วไม่เคลื่อนตัวไปยังมดลูก แต่มักฝังตัวอยู่ในบริเวณท่อนำไข่ หรือในอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อย เช่น ปากมดลูก รังไข่ พื้นที่ว่างในช่องท้อง หรือแม้แต่บริเวณรอยแผลเป็นจากการคลอดที่หน้าท้อง
ปัจจัยที่ทำให้ไข่ที่ผสมกับสเปิร์มแล้วไม่เคลื่อนไปฝังตัวในมดลูกตามกระบวนการตั้งครรภ์ปกติ ได้แก่
- ท่อนำไข่ได้รับความเสียหายจนมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง
- มีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ มดลูกอักเสบ ท่อนำไข่อักเสบ รังไข่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ
- ความผิดปกติของการพัฒนาภายในไข่หลังการปฏิสนธิ
- มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดก่อนหน้าที่บริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน
- การทำหมันหญิง หรือการผ่าตัดแก้หมันหญิง
- การใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
- การใช้ยา หรือการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในกระบวนการตั้งครรภ์
- ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป ทำให้มีความเสี่ยงที่อวัยวะในระบบสืบพันธุ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือด้อยประสิทธิภาพไปจากเดิม
วิธีการรักษา
เมื่อตรวจพบการท้องนอกมดลูก แม่ท้องควรได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพและปัญหาการเจริญพันธุ์ในอนาคต เพราะตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่นอกมดลูกจะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้อีก จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการนำตัวอ่อนนั้นออกไป
การรักษาการท้องนอกมดลูกนั้นขึ้นอยู่กับพัฒนาการของตัวอ่อนที่ฝังตัวไปแล้ว และบริเวณที่ตัวอ่อนฝังตัว โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษาผู้ป่วยท้องนอกมดลูก ดังนี้
- การใช้ยา แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามความเหมาะสม แต่ยาที่ใช้เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ ในการป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนที่ฝังตัวกลายเป็นเนื้อเยื่อเจริญเติบโตต่อไป คือยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) แพทย์อาจฉีดยานี้ให้ผู้ป่วยแล้วคอยตรวจเลือดเรื่อย ๆ เพื่อดูผลการรักษา ซึ่งการใช้ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงคล้ายอาการแท้งลูก คือ ชาหรือปวดเกร็งหน้าท้อง มีเลือดและเนื้อเยื่อไหลออกจากช่องคลอด และแม่ท้องจะยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เป็นเวลาอีกหลายเดือนหลังการใช้ยา
- การผ่าตัด แพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparotomy) ซึ่งเป็นวิธีการผ่าตัดสร้างรูเล็ก ๆ แล้วนำเครื่องมือชนิดพิเศษสอดเข้าไปในรูนั้น เครื่องมือที่ว่าคือ กล้องขยายขนาดเล็ก ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการผ่าตัดด้วยภาพจากกล้องตัวนี้ แล้วนำตัวอ่อนที่ฝังตัวนอกมดลูกออกไป รวมถึงทำการรักษาซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับความเสียหายด้วย หากพบว่าเนื้อเยื่อบริเวณท่อนำไข่เกิดความเสียหายมาก แพทย์อาจต้องผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกไปด้วย
- การรักษาภาวะอื่น ๆ เป็นการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการท้องนอกมดลูก เช่น ภาวะช็อกจากการเสียเลือดมาก อาจจะต้องได้รับเลือดทดแทน ภาวะอักเสบติดเชื้อ อาจต้องได้รับยาลดการอักเสบและยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
หลังรับการรักษา คุณแม่ต้องพักรักษาตัวภายใต้การดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี จากนั้นสภาพจิตใจก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องได้รับการด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถทำได้โดยการพูดคุยปรึกษาและให้กำลังใจกันระหว่างคู่ของคุณ เมื่อคุณพร้อมจะมีลูกและต้องการตั้งครรภ์อีกครั้ง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการมีบุตร เนื่องจากแม่ที่เคยท้องนอกมดลูกย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะอาการนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่ได้รับการผ่าตัดเอาท่อนำไข่ออกไป คุณสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะมีบุตรยากได้ โดยแพทย์อาจให้คำแนะนำในการมีบุตรด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว ที่เป็นการนำตัวอ่อนเข้าไปฝังในมดลูกโดยตรงเลย ไม่ต้องรอให้ตัวอ่อนเคลื่อนตัวไปตามท่อนำไข่เพื่อเข้าสู่มดลูกเองอีกต่อไป การทำเช่นนี้ก็สามารถแก้ปัญหาตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ภาวะท้องนอกมดลูกที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงทีจะไม่พัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บางกรณีที่แม่ท้องนอกมดลูก ได้รับการตรวจวินิจฉัยช้าเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เนื่องจากท่อนำไข่และอวัยวะในบริเวณที่ไข่ฝังตัวอาจเกิดความเสียหาย ฉีกขาด หรือเกิดการติดเชื้อ นำไปสู่การตกเลือด อาจเกิดภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (Disseminated Intravascular Coagulopathy: DIC) รวมทั้งภาวะช็อค และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้
ป้องกันได้อย่างไร ?
ภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่เราสามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะในช่องท้องและระบบสืบพันธุ์ ซึ่งจะนำไปสู่การท้องนอกมดลูกในที่สุดได้ เช่น
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการอักเสบติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
- รักษาสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่ เพราะผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่มีความเสี่ยงสูงในการท้องนอกมดลูก
และถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถป้องกันการท้องนอกมดลูกได้อย่างสิ้นเชิง แต่เรายังคงสามารถป้องกันไม่ให้อาการป่วยที่เกิดขึ้นลุกลามไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ ดังนี้
- สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาให้ทันท่วงที่
- วางแผนการดูแลครรภ์ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากแพทย์
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th