ปรอทวัดไข้ 7 แบบ เพื่อการวัดอุณหภูมิอย่างดีที่สุด
พ่อแม่สามารถเลือกใช้ “ปรอทวัดไข้” หรือเทอร์โมมิเตอร์ได้หลากหลายประเภท เช่น ปรอทแก้ว ปรอทวัดทางทวารหนัก ปรอทแบบอินฟราเรดที่ใช้วัดทางหูหรือหน้าผาก และยังมีแบบอื่น ๆ ให้เลือกอีก นี่คือวิธีการวัดไข้ที่แตกต่างกัน
อาการไข้บ่งบอกว่าร่างกายของเด็กกำลังพยายามต่อสู้กับการติดเชื้อบางชนิด หากลูกน้อยของคุณมีไข้ อาจรู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัสตัวเขา หน้าแดง เหงื่อออก หรือหนาวสั่น เนื่องจากการถูกรัดด้วยเสื้อผ้าหรือผ้าห่มมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดอาการคล้ายเป็นไข้ การวัดอุณหภูมิของลูกจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในการระบุว่ามีไข้หรือไม่
การรู้วิธีใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิของลูกเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถวัดอุณหภูมิร่างกายได้จากหลายจุดด้วยเทอร์โมมิเตอร์แบบต่าง ๆ ไม่ว่าคุณจะใช้เทอร์โมมิเตอร์ชนิดใดก็ตาม โปรดอ่านคำแนะนำอย่างละเอียด เทอร์โมมิเตอร์เกือบทั้งหมดต้องการใช้งานในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อให้อ่านค่าได้แม่นยำที่สุด
แม้ว่าการเป็นไข้จำนวนมากไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา แต่ควรไปพบแพทย์หากอุณหภูมิของบุตรของท่านสูงกว่า 38.3 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมงหรือถ้าไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน ให้โทรเรียกแพทย์หาก ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
เมื่อคุณรายงานไข้กับแพทย์ของคุณ ให้บอกพวกเขาเสมอว่าคุณวัดอุณหภูมิให้ลูกจากจุดไหนและคุณใช้เทอร์โมมิเตอร์ชนิดใด นี่คือวิธีการวัดเทอร์โมมิเตอร์แบบต่าง ๆ
ปรอทวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก
เนื่องจากเป็นการวัดจากภายในมากที่สุดและเป็นการวัดที่แม่นยำที่สุด แพทย์หลายคนจึงแนะนำให้วัดอุณหภูมิทางทวารหนักในทารกและเด็กอายุไม่เกิน 3 ปี วิธีใช้ ขั้นแรก ให้แตะปิโตรเลียมเจลลี่บนกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์ที่สะอาด หันหน้าท้องของทารกไว้บนตักของคุณหรือโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม คุณยังสามารถจัดตำแหน่งลูกน้อยของคุณโดยหงายหน้าเขาขึ้นบนโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม โดยยกขาขึ้น (เข่าแตะหน้าอก) ราวกับว่าคุณกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อม จากนั้นค่อย ๆ สอดกระเปาะ 1/2-1 นิ้วเข้าไปในทวารหนักของลูก ใช้สองนิ้วจับเทอร์โมมิเตอร์อย่างหลวม ๆ จนกว่าจะส่งเสียงบี๊บ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณไม่ดิ้นมากเกินไป
ปรอทวัดอุณหภูมิในช่องปาก
การวางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ใต้ลิ้นในเด็กอายุมากกว่า 3 ขวบก็ถูกต้องเช่นกัน โดยให้เด็กปิดปากและงดดื่มของเหลวร้อนหรือเย็น 15-20 นาที ก่อนใส่เทอร์โมมิเตอร์เข้าไป การอ่านอาจต้องยกเลิกหากหากบุตรหลานของคุณไม่เก็บเทอร์โมมิเตอร์ไว้ใต้ลิ้นจนกว่าจะส่งเสียงปี๊บ
ปรอทแบบอินฟราเรดที่ใช้วัดทางหู
เทอร์โมมิเตอร์แบบใช้วัดทางหูสามารถวัดไข้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่มีราคาค่อนข้างแพงและต้องใช้แบตเตอรี่ หากคุณไม่สอดมันเข้าไปในช่องหูของลูกโดยตรง หรือมีขี้หูสะสมอยู่มากเกินไป การวัดอาจจะไม่เที่ยงตรงได้ เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น ให้ดึงหูของเด็กขึ้นและเยื้องไปทางหลังเล็กน้อย ก่อนจะสอดเข้าไป
ปรอทวัดทางรักแร้
รักแร้ของลูกคุณให้การอ่านที่แม่นยำน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม การใช้เทอร์โมมิเตอร์ใต้วงแขนเป็นเวลา 4-5 นาทีก็ยังดีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกของคุณไม่ยอมให้คุณสอดเทอร์โมมิเตอร์ไปที่จุดอื่น แพทย์หลายคนแนะนำให้เพิ่ม 0.25 องศาเซลเซียสในการอ่านค่าเพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น เพราะโดยทั่วไปอุณหภูมิใต้วงแขนจะต่ำกว่าอุณหภูมิที่แกนกลางของร่างกาย หากห้องเย็น คุณอาจได้รับค่าการอ่านที่ต่ำผิดไปจากปกติ
เครื่องวัดอุณหภูมิทางหน้าผากแบบดิจิตอล
เครื่องวัดอุณภูมิประเภทนี้เราเริ่มคุ้นตามากขึ้นตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ Covid-19 ตามร้านค้านิยมใช้กันทั่วไป สามารถใช้งานได้รวดเร็ว แม่นยำพอสมควร และเหมาะที่จะใช้เมื่อลูกน้อยของคุณยังเด็กเกินไปที่จะนั่งเฉย ๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเซ็นเซอร์อินฟราเรดอยู่ใกล้หลอดเลือดแดงขมับ (ระหว่างขอบตาด้านนอกกับไรผม) ดูคำแนะนำอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับการอ่านค่าที่ถูกต้อง
เทอร์โมมิเตอร์แบบสวมใส่ได้
สามารถใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบสวมใส่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องปลุกให้ตื่นหรือรบกวนเด็ก เพราะมันความสามารถในการติดตามไข้ในช่วงเวลาต่าง ๆ เทอร์โมมิเตอร์แบบสวมใส่ได้ส่วนใหญ่เชื่อมต่อกับแอพเพื่อแสดงการอ่านอุณหภูมิ ความแม่นยำอาจแตกต่างกันไป เนื่องจากเทอร์โมมิเตอร์แบบสวมใส่มักจะวัดอุณหภูมิผิวหนังแทนอุณหภูมิจากแกนกลาง ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการอ่าน เช่น ตำแหน่งของเซ็นเซอร์ ระดับการออกแรงทางกายภาพ และอุณหภูมิภายนอก
แถบวัดอุณหภูมิ
นิยมเรียก ‘แถบวัดไข้’ หรือ ‘เทปวัดไข้’ ใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้ว่าจะไม่แม่นยำเท่ากับเทอร์โมมิเตอร์ แต่ก็เป็นวิธีที่รบกวนน้อยที่สุดในการวัดอุณหภูมิของเด็ก เพียงแค่จับแถบแนบไปบนหน้าผากที่แห้ง อย่างน้อย 15 วินาที หรือจนกระทั่งสีที่ปรากฏขึ้นบนแถบวัดอุณหภูมิไม่เปลี่ยน แล้วอ่านผลขณะที่แถบวัดอุณหภูมิยังอยู่บนหน้าผาก
ไม่ว่าคุณจะเลือกเทอร์โมมิเตอร์แบบใด คุณควรพิจารณาที่จะเลิกใช้แบบดั้งเดิมที่มีปรอท ซึ่งเป็นสารพิษที่ส่งผลต่อสมอง ไขสันหลัง ตับ และไต และอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ ถ้ามันแตก ก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ครอบครัวของคุณสัมผัสกับไอระเหยที่เป็นอันตรายของปรอท หากคุณยังมีมันในตู้ยาที่บ้าน อย่าเพิ่งโยนมันลงถังขยะ นำไปให้กุมารแพทย์ของคุณ เพราะพวกเขาสามารถกำจัดมันได้อย่างปลอดภัย หรือส่งไปที่ไซต์รวบรวมขยะอันตรายในพื้นที่ของคุณ
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th