มะเร็งเต้านม โรคมะเร็งอันดับ 1 ของผู้หญิงทั่วโลก
“มะเร็งเต้านม” จัดเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้มากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงทั่วโลก และคนไทยเรามีแนวโน้มป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้นในทุก ๆ ปีด้วย เนื่องในโอกาสที่เดือนตุลาคมนี้เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต่อต้านโรคมะเร็งเต้านม Motherhood จึงจะนำเสนอเรื่องราวของมะเร็งเต้านมให้ผู้อ่านได้ศึกษากันไว้ค่ะ
มะเร็งเต้านมคืออะไร ?
มันเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์เหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมได้ และอาจมีการแพร่กระจายตัวไปตามทางเดินน้ำเหลือง สู่ต่อมน้ำเหลือง หรือแพร่กระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ห่างออกไป เช่น กระดูก ปอด ตับ เป็นต้น หากเราตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกจะช่วยให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
อะไรคือปัจจัยเสี่ยง ?
- เพศ เพศหญิงมีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ จึงมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชาย แต่ผู้ชายก็สามารถป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน แต่อุบัติการณ์ของโรคนี้จะเกิดกับผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงเกือบ 100 เท่า
- อายุ จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
- มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยที่เกิดมะเร็งเต้านมขึ้นข้างหนึ่งมีความเสี่ยง 3 – 4 เท่า ในการที่จะเกิดก้อนมะเร็งขึ้นที่เต้านมอีกข้าง
- มีประวัติโรคทางเต้านม โรคบางโรคที่มีการเจริญของเซลล์ผิดปกติในเต้านม สามารถที่จะเพิ่มความเสี่ยงหรือพัฒนากลายเป็นมะเร็งเต้านมได้ในอนาคต เช่น Atypical ductal hyperplasia (ADH)
- มีประวัติการเป็นมะเร็งรังไข่ เนื่องจากการเป็นมะเร็งรังไข่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสฮอร์โมน จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมตามไปด้วย
- มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น
- เกิดการกลายพันธุ์ของยีน ยีน BRCA1 หรือ BRCA2 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม แต่ยีนดังกล่าวก็พบได้เพียงร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด ดังนั้น หากตรวจยีนดังกล่าวแล้วปกติก็ยังมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมอยู่
- การสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจน การสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม
- การตั้งครรภ์และการให้นมลูก ผู้ป่วยที่ไม่เคยตั้งครรภ์หรือมีลูกคนแรกตอนอายุมากกว่า 30 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันการตั้งครรภ์หลายครั้งและมีบุตรตั้งแต่อายุน้อยสามารถลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้ และการให้นมลูกเป็นเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป ก็อาจจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้เช่นกัน
- ประวัติการมีประจำเดือน การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี ทำให้ร่างกายของผู้หญิงมีช่วงเวลาสัมผัสกับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมากขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
- การใช้ยาคุมกำเนิดและฮอร์โมน ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ แต่ความเสี่ยงที่ว่านี้จะหมดไปหากหยุดใช้ยาเกิน 10 ปี
- การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ความอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาการที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ การได้รับรังสีในปริมาณสูง ภาวะเครียด
อาการของมะเร็งเต้านม
บางครั้งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมอาจไม่มีอาการของมะเร็งเต้านม และส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บหรือปวด มีเพียงร้อยละ10 ของผู้ป่วยเท่านั้น ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดเต้านม ดังนั้น จึงควรไปพบแพทย์เมื่อพบอาการดังต่อไปนี้
- เกิดก้อนหนา ๆ ในเต้านมหรือใต้แขน
- เต้านมผิดรูปร่างไปจากเดิม หรือหัวนมบุ๋ม
- มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม หรือเกิดแผลบริเวณเต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลบริเวณหัวนมและรอบหัวนม
- มีผื่นที่เต้านม แดงและร้อน ผื่นลักษณะคล้ายผิวส้ม
- อาการปวดบริเวณเต้านม
- ไม่มีอาการผิดปกติ แต่พบรอยโรคจากการตรวจแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์เต้านม
การตรวจวินิจฉัย
1. ซักประวัติและตรวจเต้านมโดยแพทย์เฉพาะทาง
2. การตรวจทางรังสีวิทยา
- การตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรม (Mammogram) ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี
- การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์ เป็นการตรวจหาและวัดขนาดของสิ่งผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้องอก ก้อนซีสต์หรือถุงน้ำ ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
3. การเจาะชิ้นเนื้อส่งตรวจ
การเจาะชิ้นเนื้อส่งตรวจกับพยาธิแพทย์จะทำเมื่อมีการตรวจพบก้อนผิดปกติ หลังจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองหรือการเอกซเรย์ หรือพบการมีแคลเซียมเป็นจุดอย่างผิดปกติจากการตรวจเอกซเรย์ ซึ่งแพทย์จะต้องทำการตรวจต่อไปว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ซึ่งวิธีที่วินิจฉัยได้แม่นยำคือวิธีการนำชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ถ้าเป็นมะเร็งก็จะได้ทำการผ่าตัดและรักษาต่อไป
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
80% ของผู้ป่วยจะมาด้วยอาการพบก้อนที่บริเวณเต้านม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะตรวจพบหรือคลำเจอด้วยตนเอง การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอจะทำให้รู้ว่าลักษณะของเต้านมปกติเป็นอย่างไร และสามารถสังเกตได้หากเริ่มมีความผิดปกติขึ้น เราสามารถตรวจเช็กเต้านมด้วยตนเองด้วย 3 วิธีง่าย ๆ ดังนี้
1. ตรวจตอนอาบน้ำ
สามารถทำได้โดยใช้นิ้วมือวางราบบนเต้านม จากนั้นคลำและเคลื่อนนิ้วเบา ๆ ให้ครบทุกส่วนของเต้านมทีละข้าง
2. ตรวจหน้ากระจก
สามารถทำได้โดยยืนตัวตรงมือแนบลำตัว ยกแขนให้ขึ้นสูงเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะเต้านมทั้งสองข้าง หรือยกมือเท้าที่เอวและกดสะโพกแรง ๆ ไม่ให้กล้ามเนื้อเกร็งและหดตัว แล้วสังเกตลักษณะผิดปกติ
3. ตรวจในท่านอน
สามารถทำได้โดยนอนราบยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ ใช้มืออีกข้างตรวจคลำทุกส่วนของเต้านมทีละข้าง ให้เริ่มคลำจากส่วนนอกและเหนือสุดของเต้านมก่อน แล้วเวียนไปรอบเต้านม ค่อย ๆ เคลื่อนมือเข้ามาเป็นวงแคบ ๆ จนถึงบริเวณเต้านมให้ทั่วทุกส่วน จากนั้นบีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติไหลออกมาหรือไม่
รักษากันอย่างไร ?
การรักษาจะต้องอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่าง ๆ เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง มาร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์ มีดังนี้
- ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง
- ระยะโรคและการกระจายของเซลล์มะเร็ง
- อายุและสุขภาพของผู้ป่วย
- กรรมพันธุ์และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
- ตัวรับฮอร์โมนของมะเร็ง
- ภาวะก่อนหรือหลังหมดประจำเดือน
- ปัจจัยที่บ่งบอกความรุนแรงของเนื้องอก เช่น ยีน HER2
วิธีการรักษาที่ได้ผลดีและได้รับการยอมรับกันในปัจจุบันนี้ ได้แก่
- การผ่าตัด
- รังสีรักษา (การฉายแสง)
- เคมีบำบัด
- รักษาโดยใช้ฮอร์โมน
- รักษาโดยใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted therapy)
สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก แพทย์จะให้การรักษาโดยการผ่าตัดก่อน และส่วนมากต้องการการรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อการรักษาที่ได้ผลดีขึ้น
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th