Site icon Motherhood.co.th Blog

วัคซีน Moderna มีประสิทธิภาพต้าน Covid-19 สูงถึง 94.5%

ทดลองวัคซีน Moderna

วัคซีน Moderna ประสิทธิภาพต้านโควิด-19 สูงถึง 94.5%

วัคซีน Moderna มีประสิทธิภาพต้าน Covid-19 สูงถึง 94.5%

ในช่วงนี้เราได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับความคืบหน้าของวัคซีนต้าน Covid-19 กันมากมายนะคะ และล่าสุด “วัคซีน Moderna” ก็เป็นอีกตัวนึงค่ะ ที่ตามรายงานข่าวบอกว่ามีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่สูงเอาการเลยทีเดียว เราไปติดตามเรื่องนี้ด้วยกันค่ะ

เมื่อวาน (16 พฤศจิกายน) ผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ได้เผยผลการทดสอบวัคซีนเบื้องต้นในระยะที่ 3 พบว่า วัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อโควิด-19 สูงถึง 94.5% เลยทีเดียว ซึ่งนับเป็นการเผยประสิทธิภาพวัคซีนต้านโควิด-19 รายที่ 2 ของสหรัฐอเมริกาต่อจากวัคซีนของ Pfizer ที่เพิ่งเปิดเผยความคืบหน้าไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะนี้วัคซีน Moderna กำลังอยู่ระหว่างการทดลองเฟสที่ 3

ถือว่าเป็นข่าวดีเกี่ยวกับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ข่าวที่ 3 ในรอบเดือนนี้ เมื่อ Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำของสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นว่า วัคซีนที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองเฟสที่ 3 มีประสิทธิภาพสูงถึง 94.5% ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความหวังของมนุษยชาติในการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1.32 ล้านราย

Moderna ได้พัฒนาวัคซีนชนิด RNA ซึ่งหมายความส่วนหนึ่งของรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าจะถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย จากนั้นจะเริ่มกระบวนการสร้างโปรตีนจากไวรัส ซึ่งเป็นจำนวนมากเพียงพอที่จะฝึกระบบภูมิคุ้มกันของเราให้โจมตีไวรัสได้ เปรียบเสมือนการฝึกร่างกายให้สร้างแอนติบอดี และอีกส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า T-cells เพื่อต่อสู้กับไวรัส

สำหรับวัคซีนของ Moderna นั้นเป็นการพัฒนาร่วมกับสถาบันสุขภาพแห่งชาติ โดยศึกษาจากอาสาสมัคร 30,000 คนในสหรัฐฯ ซึ่งครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครได้รับวัคซีน 2 โดสห่างกัน 4 สัปดาห์ และอีกครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอกแทน โดยทีมสังเกตการณ์อิสระได้ตรวจวิเคราะห์กลุ่มผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการป่วยกลุ่มแรกจำนวน 95 ราย และพบว่ามีผู้ติดเชื้อเพียง 5 รายในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนจริง ขณะที่ 90 รายที่เหลือล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงถึง 94.5%

ทีมสังเกตการณ์อิสระยังรายงานอีกว่า ผู้ติดเชื้อ 11 รายที่พบว่ามีอาการป่วยรุนแรงนั้น ล้วนอยู่ในกลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอก และในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีรายงานถึงอันตรายจากผลข้างเคียงหรือข้อน่ากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนตัวนี้แต่อย่างใด

ผลข้างเคียงที่สำคัญ ได้แก่ ความเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และความเจ็บปวดจากการฉีดวัคซีนหลังจากได้รับวัคซีนครั้งที่สอง ในอัตราที่ดร. สตีเฟน โฮจ ประธานบริษัท Moderna ชี้ว่ามันเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยกว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่จะเทียบเท่ากับการฉีดวัคซีนอื่น ๆ เช่น วัคซีนงูสวัด

“ผลกระทบเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราคาดหวังได้จากวัคซีนที่ได้ผล และสามารถกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ดี” ศจ. ปีเตอร์ โอเพนชอว์ จาก Imperial College London กล่าว

โฮจยังได้แสดงความยินดีกับความคืบหน้าดังกล่าวว่าเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะการมีวัคซีน 2 ตัวที่มีประสิทธิภาพสูงพอ ๆ กันจาก 2 บริษัท ทำให้ผู้คนมั่นใจได้มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ บริษัท Pfizer ผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ก็เพิ่งเปิดเผยผลการทดลองในคนว่าวัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพในการต้านโควิด-19 สูงกว่า 90% เช่นกัน วัคซีนจาก Moderna เป็นหนึ่งในผู้แข่งขันจากทั้งหมด 11 ราย ในการทดสอบขั้นสุดท้ายที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งมีวัคซีนจาก 4 ผู้วิจัยรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา

ข่าวความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีน 2 ตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันทำให้ทั้ง Moderna และ Pfizer เตรียมตัวที่จะขอใบอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ให้มีการอนุมัติใช้วัคซีนฉุกเฉินในประเทศ โดยปัจจุบันสหรัฐฯ มีเคสผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 11 ล้านราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 2.45 แสนราย

ได้เปรียบตรงที่ไม่จำเป็นต้องจัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำมาก

ความท้าทายอีกประการหนึ่งของการจัดจำหน่ายก็คือ การที่ต้องเก็บไว้ในที่เย็นมาก ทั้งวัคซีนของ Moderna และ Pfizer จะต้องถูกแช่แข็ง แต่ภายในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ทาง Moderna ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่าเมื่อวัคซีนละลายแล้ว แต่ละโดสสามารถอยู่ในตู้เย็นได้นานกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก ดูเหมือนว่ามันจะจัดเก็บได้ง่ายกว่า เนื่องจากมันจะยังคงมีความเสถียรที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส นานถึง 6 เดือน และสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นมาตรฐานได้นานถึงหนึ่งเดือน ในขณะที่วัคซีนของ Pfizer ต้องการห้องเย็นพิเศษที่อุณหภูมิประมาณ -75 องศาเซลเซียส หากต้องการเก็บรักษาเป็นเวลานาน แต่สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นมาตรฐานได้เป็นเวลา 5 วัน ในขณะที่วัคซีน Sputnik V ซึ่งพัฒนาขึ้นในรัสเซียได้เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพ 92%

อย่างไรก็ตาม การศึกษาวัคซีนตัวนี้ยังดำเนินต่อไป ซึ่ง Moderna เองก็ยอมรับว่า อัตราการป้องกันไวรัสอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น และนำเข้ามาคำนวณด้วย

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th