วิธีสังเกต “โรคมะเร็ง” ในร่างกายตัวเองก่อนจะสาย
วันนี้ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ถูกกำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก “โรคมะเร็ง” ถือเป็นโรคที่ผู้คนไม่อยากเป็น มันถูกมองเป็นความโชคร้าย เป็นเหมือนแจ็คพ็อตที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรือกับคนที่เรารัก ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้วิทยาการในการรักษามะเร็งในบ้านเราจะก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ไม่มีใครอยากพบพานกับโรคร้ายเช่นนี้อยู่ดี แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง หากมีอะไรที่เข้าข่าย เราจะได้ทำการรักษากันได้ทันท่วงทีค่ะ
ทำความรู้จักโรคมะเร็ง
มะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากการมีเซลล์ผิดปกติในร่างกาย และเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมการเจริญเติบโตนั้นไม่ได้ เซลล์เหล่านี้จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ / อวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด
มะเร็งต่างจากเนื้องอกอย่างไร ?
มะเร็งต่างจากเนื้องอกตรงที่ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งจะโตเร็ว และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้าหลอดเลือด กระแสเลือด หลอดน้ำเหลืองหรือกระแสน้ำเหลือง กระจายตัวไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยมักแพร่สู่ปอด ตับ สมอง กระดูก และไขกระดูก ดังนั้น โรคมะเร็งจึงเป็นโรคเรื้อรัง มีความรุนแรง ต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง
มะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เมื่อร่างกายได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี ไวรัส รังสี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เซลล์ของเราเกิดการเปลี่ยนแปลง และจากเซลล์ปกติก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ถ้าระบบภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งนั้นได้ พวกมันก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นก้อนมะเร็งต่อไป
สาเหตุของโรคมะเร็ง
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของโรคมะเร็ง แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งอยู่หลายปัจจัย ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย
1.1 สารเคมีบางประเภท เช่น
- สารเคมีในควันบุหรี่และเขม่ารถยนต์
- สารพิษจากเชื้อรา
- สารพิษที่เกิดจากเนื้อสัตว์ที่ปิ้ง ย่าง หรือทอดจนไหม้เกรียม
- สีย้อมผ้า
- สารเคมีบางอย่างที่เกิดจากขบวนการทางอุตสาหกรรม
1.2 รังสีต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด
1.3 การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น
- ไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งตับ
- ฮิวแมน แพพพิโลมา ไวรัส (Human Papilloma Virus หรือ HPV) อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
- เอบสไตน์ บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งโพรงหลังจมูก
- เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรัย (Helicobacter Pylori) มีความสัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร
1.4 พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ มีความสัมพันธ์กับมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
2. สาเหตุภายในร่างกาย
- กรรมพันธ์ุที่ผิดปกติ
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมน
- ภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง
- การระคายเคืองที่เกิดซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
- ภาวะทุพโภชนาการ
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่าง ๆ
1. มะเร็งปากมดลูก
- มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ
- เจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรเข้ารับการตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
2. มะเร็งรังไข่
- รอบเดือนไม่สม่ำเสมอ
- เจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
- มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
3. มะเร็งในเซลล์ (ลูคีเมีย)
- เหนื่อยง่าย
- ดูซีดเซียวกว่าปกติ
- มักมีอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
- บางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านล่างของช่องท้อง
4. มะเร็งปอด
- มีอาการไอบ่อย ๆ
- มีเลือดออกและมีเสมหะปนมา
- เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- น้ำหนักลดแบบฮวบฮาบ
5. มะเร็งตับ
- ปวดในช่องท้อง
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- ตาและผิวเป็นสีออกเหลือง หรือเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
6. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
7. มะเร็งสมอง
- ปวดศีรษะนาน ๆ
- เกิดการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ
- อาเจียน
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือเป็นลมโดยกะทันหัน โดยที่อวัยวะบางส่วนหยุดทำงาน
8. มะเร็งในช่องปาก
- มีก้อนบวมอยู่ในปากหรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยในปากที่ไม่ได้รับการรักษา
- เป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอม
9. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- อาเจียนเป็นเลือด
- ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย
- รู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
- รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง
10. มะเร็งทรวงอก
- มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม
- มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
- ผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น
11. มะเร็งลำไส้ใหญ่
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ปวดท้องอย่างมาก
- ระบบการย่อยผิดปกติ
- มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
12. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ
- มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสี รูปร่าง หรือขนาด
13. มะเร็งต่อมลูกหมาก
- ปัสสาวะติดขัดหรือไม่ออก
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- เมื่อเร่งปัสสาวะจะมีอาการเจ็บ
การตรวจวินิจฉัยมะเร็ง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งมีหลายวิธี เช่น
- การตรวจร่างกายโดยแพทย์
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ และเสมหะ
- การตัดชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจทางรังสี เช่น การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การเอกซเรย์เฉพาะอวัยวะ และการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
- การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษส่องกล้องโดยตรง เช่น การตรวจลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก กระเพาะอาหารและลำคอ
ระยะของโรคมะเร็ง
ระยะของโรคมะเร็งคือตัวบอกความรุนแรงของโรค ว่ามีการลุกลามหรือแพร่กระจายในระดับใด สามารถบอกแนวทางการรักษาสำหรับแพทย์ได้ โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะอาจแบ่งย่อยได้อีก
- ระยะที่ 1 : ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
- ระยะที่ 2 : ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ
- ระยะที่ 3 : ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง
- ระยะที่ 4 : ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งขนาดโตมาก และ / หรือลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง จนทะลุ และ / หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ / หรือมีหลากหลายต่อม และ / หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ / หรือ หลอดน้ำเหลืองหรือกระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ในช่องอก และ / หรือต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า
การรักษามะเร็ง
การตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกย่อมเป็นผลดีต่อการรักษา ซึ่งวิธีการรักษามีดังต่อไปนี้
1. การผ่าตัด การตัดเอาก้อนที่เป็นมะเร็งออกไป
2. รังสีรักษา การให้รังสีกำลังสูงเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
3. เคมีบำบัด การให้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
4. ฮอร์โมนบำบัด การใช้ฮอร์โมนเพื่อยุติการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
5. การรักษาแบบผสมผสาน การรักษาร่วมกันหลายวิธีที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค
ป้องกันโรคมะเร็งได้หรือไม่ ?
วิธีป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุด คือพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ทุกวัน และในปริมาณที่เหมาะสม
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และการตรวจสุขภาพประจำปี
- หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th