Site icon Motherhood.co.th Blog

7 สิ่ง เกี่ยวกับ “ไคโรแพรคติก” ที่พ่อแม่ต้องรู้

ไคโรแพรคติก

ไขข้อข้องใจของพ่อแม่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งไคโรแพรคติก

7 สิ่ง เกี่ยวกับ “ไคโรแพรคติก” ที่พ่อแม่ต้องรู้

เราอาจจะเคยเห็นคลิปวิดีโอที่มีแพทย์มากดหรือดึงตัวคนไข้ จากนั้นจะมีเสียงกระดูกสั่นกร๊อบแกร๊บให้เรารู้สึกฟินกัน นั่นแหละคือ “ไคโรแพรคติก” ซึ่งบางครั้งเราก็เห็นว่ามีคนไข้ที่เป็นเด็กเล็กด้วย คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะรู้สึกสนใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกหรือเปล่า วันนี้ Motherhood นำสาระเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์ทางเลือกอย่างไคโรแพรคติกมาฝากกันค่ะ

พ่อแม่สมัยใหม่นิยมพาลูกไปหาแพทย์ไคโรแพรคติก

ประวัติของการรักษาแบบไคโรแพรคติก

แม้ว่าการจัดกระดูกสันหลังนั้นจะถูกใช้เป็นวิธีการรักษามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ แต่ไคโรแพรคติกเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1895 มันถูกพัฒนามาจากการรักษาแบบพลังเยียวยาที่มีอยู่ในสมัยโบราณ ร่วมกับวิธีทางการแพทย์แบบอเมริกัน และนำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน การรักษาชนิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นในยุคที่ผู้ป่วยต้องการหาทางเลือกในการรักษาที่ปราศจากการใช้ยา

ดีดี พาลเมอร์ ผู้รักษาพลังงานแม่เหล็กชาวอเมริกัน เชื่อว่าโรคต่าง ๆ มักเกิดจากการเคลื่อนตัวของข้อในกระดูกสันหลัง ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การหยุดชะงักของแรงกระตุ้นประสาท และการแก้ไขการเคลื่อนตัวของข้อต่อเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเอง สิ่งนี้คือหลักสำคัญของไคโรแพรคติก

ในปี 1997 สมาคมไคโรแพรคติกวิทยาลัยซึ่งเป็นตัวแทนของวิทยาลัยไคโรแพรคติก 16 แห่งในอเมริกาเหนือได้มีฉันทามติร่วมกันที่ระบุไว้ว่า ไคโรแพรคติกมีส่วนในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ และมุ่งเน้นความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องการเคลื่อนตัวของข้อต่อกระดูก ซึ่งการเคลื่อนตัวเหล่านี้เป็นความซับซ้อนของการทำงานและ/หรือการเปลี่ยนแปลงของข้อต่อทางพยาธิวิทยา ที่ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบประสาทและอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบอวัยวะและสุขภาพโดยทั่วไป

การจัดกระดูกมีความเชื่อกันว่าจะทำให้ร่างกายส่วนที่ผิดปกติกลับมาทำงานได้ดีขึ้น

พ่อแม่นิยมพาลูกไปรักษาอาการอะไร?

  1. ปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังคด เพราะเชื่อว่าการดูแลก่อนเด็กจะโตเต็มที่จะช่วยลดหรือชะลอการคดของกระดูกสันหลังได้
  2. กระตุ้นพัฒนาการของสมอง เพราะเชื่อว่าสมองจะดีหากระบบประสาทในกระดูกสันหลังสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
  3. เพิ่มภูมิต้านทาน เชื่อกันว่ากระตุ้นระบบฮอร์โมนที่ผลิตภูมิต้านทานได้ด้วยการดูแลระบบประสาทในกระดูกสันหลัง
  4. อยากให้ลูกสูง จึงต้องการพัฒนาโครงสร้างกระดูกสันหลัง เพื่อประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของลูก
  5. ลดอาการปวดหลังหรือปวดตามข้อกระดูก ที่เกิดจากอาการบาดเจ็บทั่วๆไป ดังเช่นที่ผู้ใหญ่เข้ารับการบำบัด

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าในระยะแรกที่เด็กเริ่มหัดเดิน เส้นใยกล้ามเนื้อของเขาจะยังไม่แข็งแรงพอ การที่เด็กล้มจนก้นกระแทกพื้นบ่อย ๆ สามารถก่อให้เกิดการปรับตัวของใยกล้ามเนื้อและเส้นประสาท และเมื่อเกิดการกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็อาจส่งผลให้เกิดการบิดตัวหรือคดงอของกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานได้ จึงอาจเกิดปัญหาตามมา เช่น กระดูกสันหลังคด (Scoliosis) หรือมีอาการปวดขาเนื่องมาจากกำลังเจริญเติบโต (Growing Pain) ซึ่งโดยปกติการรักษาและฟื้นฟูด้วยศาสตร์การจัดกระดูกแบบไคโรแพรคติกจะมีการปรับเทคนิคเพื่อให้เหมาะสมกับปัญหากระดูกของคนไข้แต่ละคน

ไคโรแพรคติกและการรักษาในเด็ก

ศาสตราจารย์อลาสแตร์ แมคเลนแนน รองประธานของ Friends of Science in Medicine กล่าวว่าเด็กอายุสามเดือนในยุโรปเสียชีวิตหลังจากคอของเธอถูกปรับโดยนักกายบำบัดในปี 2009

“ไม่มีการรักษาทางเลือกใดที่มีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่หลายคนกลับมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นไปเพราะเรื่องผลประโยชน์” ศาสตราจารย์แมคเลนแนนกล่าว

จอห์น เร็กการ์ ซีอีโอและรองประธานของ Chiropractic and Osteopathic College of Australasia เห็นพ้องว่ามีหลักฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะสนับสนุนประโยชน์ของการจัดการกับกระดูกสันหลังโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ และองค์กรของเขาแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือกุมารแพทย์

“เราระบุในนโยบายของเราว่ามีหลักฐานน้อยมากที่จะสนับสนุนการจัดการกับกระดูกสันหลังสำหรับเด็กทารก แต่ถ้าพ่อแม่ต้องการให้ทำ เราขอแนะนำให้ทำภายใต้คำแนะนำทางการแพทย์” นายเร็กการ์กล่าว

ต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันก่อนทุกครั้งเมื่อสนใจการแพทย์ทางเลือก

7 สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้หากจะให้ลูกรักษาโดยการแพทย์ทางเลือก

ไม่ได้หมายความว่าการรักษาทางเลือกไม่สิ่งที่ถูกที่ควร แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่จะต้องขอคำแนะนำทางการแพทย์ก่อนที่จะเริ่มทำการรักษาทางเลือกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับเด็กหรือทารก

ต่อไปนี้เป็นข้อควรพิจารณา 7 ประการก่อนตัดสินใจเข้ารับการบำบัดทางเลือกสำหรับลูกน้อย

1. เพียงเพราะการรักษาได้รับความนิยมไม่ได้ทำให้มันมีประสิทธิภาพ (หรือถูกต้องในทางวิทยาศาสตร์)

ความนิยมไม่ใช่ตัวชี้วัดความถูกต้อง เราสามารถนึกถึงตัวอย่างของกิจกรรมยอดนิยมที่ไม่ดีสำหรับคนเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ การพนัน และการกินที่มากเกินไป ตรรกะนี้ทำให้เราต้องพันกลับมาพิจารณาความน่าเชื่อถือที่นำเสนอโดยผู้ประกอบการแพทย์ทางเลือก

2. การบำบัดแบบธรรมชาตินั้นไม่ปลอดภัยเสมอไป

ไม่มีสิ่งใดที่มาจากสารธรรมชาติที่จะปลอดภัยเสมอไป ในความเป็นจริงสารพิษหลายชนิดเป็นสารธรรมชาติ เช่น สตริกนิน นิโคติน และไซยาไนด์ การทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าง ‘ธรรมชาติ’ กับยาทั่วไปนั้น ถือเป็นการสร้างความเข้าใจที่ผิด

3. การรักษาทางเลือกสามารถส่งผลข้างเคียง

เมื่อคุณแนะนำสารเคมีใด ๆ ให้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นยาหรือสารสกัดจากธรรมชาติ เท่ากับว่าคุณกำลังจัดการกับระบบที่ซับซ้อนและมีเครือข่ายโยงใยมากมาย ซึ่งหมายความว่าส่งผลที่เราไม่ได้ตั้งใจเสมอ ความท้าทายคือการค้นหาสารเคมีที่ทำหน้าที่ตามที่เราต้องการมากพอโดยไม่ทำให้ระบบอื่นพลอยหยุดชะงัก แม้ว่าหลายคนเชื่อว่าการรักษาธรรมชาติไม่มีผลข้างเคียง แต่มันก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริงและมักจะไม่ทราบถึงผลข้างเคียงที่เฉพาะเจาะจง

4. วิทยาศาสตร์ (และยา) ขึ้นอยู่กับการวิจัยและหลักฐาน

เราพึ่งพาวิทยาศาสตร์เพื่อความปลอดภัยของเราในยามที่เราต้องเดินทางหรือยามที่เราเลือกจับจ่ายสินค้าตามไลฟ์สไตล์ แต่เรากลับมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธวิทยาศาสตร์เมื่อพูดถึงสุขภาพ เทคโนโลยีเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จากการค้นพบของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ และโดยวิธีการเดียวกันนี้ มันได้สร้างมาตรฐานด้านสุขภาพที่สูงในปัจจุบัน หลายคนกำลังตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขาโดยอิงจากหลักฐานหรือข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ และการที่ผู้คนพากันรับรองวิธีการเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจ

มีเคสที่ทารกบาดเจ็บเพราะไคโรแพรคติกอยู่บ่อยครั้งในต่างประเทศ

5. การรักษาทางเลือกไม่มีการอ้างอิงที่ดีพอ

การปฏิบัติงานด้านสุขภาพทางเลือกมากมายยังไม่ได้รับการพัฒนาโดยการวิจัย มันถูกคิดค้นขึ้นมาและก็ใช้งานง่ายๆอย่างนั้น เป็นเหมือนความเชื่อที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แม้จะมีการค้นพบใหม่ๆเกิดขึ้น กายภาพบำบัดเป็นการรักษาบนพื้นฐานของการวิจัยและการสังเกต ส่วนการรักษาแผนออสทีโอพาธี (Osteopathy) นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อของความสมดุล โฮมิโอพาธีย์ (Homeopathy) ก็เป็นแนวทางการรักษาที่ใช้สารเจือจางมากมากระตุ้นร่างกาย และไคโรแพรคติกก็วางพื้นฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่าการเจ็บป่วยทั้งหมดเกิดจากกระดูกสันหลังและสามารถแก้ไขได้โดยการจัดแนวกระดูกสันหลัง

6. การบำบัดทางเลือกนั้นมีอันตราย – ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นอกเหนือจากความจริงที่ว่าการใช้ยาเสริมทดแทนการใช้ยากระแสหลักอาจทำให้เกิดโรคที่ไม่ได้รับการรักษา หรือก่อให้เกิดความเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตอย่างร้ายแรง การให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเป็นจำนวนมากต่อสาธารณะทำให้เกิดปัญหาที่สำคัญต่อสังคมโดยรวมในแง่มุมต่างๆ เช่น

7. หลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่หลักฐานที่แท้จริง

สิ่งที่เรียกว่าหลักฐานที่ใช้เพื่อสนับสนุนการรักษาทางเลือกส่วนใหญ่มักเกิดจากผลของยาหลอก การรักษาทางเลือกส่วนใหญ่เป็นยาหลอก ดังนั้นพวกเขาอาจดูเหมือนจะทำให้คนไข้รู้สึกดีขึ้นอย่างน้อยในช่วงเวลาสั้น ๆ น่าเสียดายที่การรักษาด้วยยาหลอกจะไม่เปลี่ยนวิธีการรักษาโรคมะเร็ง และนี่คือจุดที่การใช้ยาหลอกกลายเป็นปัญหา มันคือให้ความหวังที่ผิด ๆ และสร้างรายได้จากคนที่สิ้นหวัง

เมื่อได้รู้เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ไคโรแพรคติกหรือการแพทย์ทางเลือกประเภทอื่น ๆ ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจพาลูกน้อยไปรับการรักษาก็ต้องหาข้อมูลให้มากเพียงพอนะคะ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของลูกที่เคยรักษากันอยู่ประจำเสียก่อนที่จะทดลองรักษาการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ค่ะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th