เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “สุขภาพจิตของวัยรุ่น LGBTIQA+”
คนหนุ่มสาวในชุมชน LGBTQIA+ มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพจิตมากกว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกดขี่และการเลือกปฏิบัติที่อาจพบในโรงเรียน ที่บ้าน และในชุมชนที่กว้างขึ้น ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสถิติเกี่ยวกับภาวะสุขภาพจิตที่แพร่หลายในชุมชน LGBTQIA+
อะไรคือความท้าทายด้านสุขภาพจิตสำหรับเยาวชน LGBTQIA+ ?
ในการศึกษาระดับชาติปี 2020 โดย The Trevor Project วัยรุ่น LGBTQIA+ กล่าวว่าพวกเขาต้องรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตที่หลากหลาย
- 68% มีอาการวิตกกังวล
- 55% มีอาการซึมเศร้า
- 48% มีการทำร้ายตัวเอง เช่น การกรีด
- 40% คิดที่จะฆ่าตัวตายในปีที่ผ่านมา
การกลั่นแกล้งและการขาดการสนับสนุนมักเป็นปัจจัยสำคัญต่อปัญหาสุขภาพจิตที่เยาวชน LGBTQIA+ ต้องประสบ
จากผลการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชนปี 2019 ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) เยาวชน LGBTQIA+ มีแนวโน้มที่จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น
- การล่วงละเมิดทางวาจาและร่างกายที่โรงเรียน
- การกลั่นแกล้งออนไลน์
- ความกังวลเรื่องความปลอดภัยที่ขัดขวางการเข้าเรียน
การขาดการสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต การขาดการสนับสนุนนอกครอบครัวก็ส่งผลกระทบเช่นกัน เยาวชน LGBTQIA+ อาจไม่ได้รับการสนับสนุนเพราะครอบครัว เพื่อนฝูง โรงเรียนหรือชุมชนศาสนาไม่ยอมรับ หรือเพราะพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะพูดถึงอัตลักษณ์และประสบการณ์ของตนกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ
อะไรคือสัญญาณบ่งชี้ว่าเด็ก LGBTQIA+ ต้องการความช่วยเหลือ ?
ก่อนอื่นให้มองหาอาการซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่นที่เป็น LGBTQIA+ ระวังการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การแยกตัวมากขึ้นและไม่พูดเยอะเท่าแต่ก่อน คะแนนที่ลดลง ความสนใจในกิจกรรมที่พวกเขาเคยมีส่วนร่วมลดลง และการดิ้นรนกับระดับพลังงานหรือแรงจูงใจ ล้วนเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้า สำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะ ความหงุดหงิดอาจเป็นสัญญาณได้เช่นกัน
สัญญาณของความวิตกกังวลสามารถส่งสัญญาณถึงปัญหาได้เช่นกัน ระวังเรื่องความประหม่า มีปัญหากับมิตรภาพ และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคม อาการทางร่างกาย เช่น ปวดหัวและปวดท้องก็พบได้เป็นปกติเช่นกัน
เยาวชน LGBTQIA+ และการใช้สารเสพติด
จากรายงานของ Human Rights Campaign พบว่าเยาวชน LGBTQIA+ มีโอกาสน้อยที่จะมีครอบครัวที่พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือได้ ซึ่งทำให้ยากต่อการรักษาหากใช้สารเสพติด บางคนอาจหันไปพึ่งแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดเพื่อรักษาตัวเองหรือเพื่อจัดการกับความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและการกลั่นแกล้ง
ผลการศึกษาในปี 2015 พบว่าการถูกปฏิเสธที่โรงเรียนมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการใช้สารเสพติดในวัยรุ่น LGBTQIA+
เยาวชน LGBTQIA+ และปัญหาความนับถือตนเองต่ำ
ข้อความต่อต้าน LGBTQIA+ การปฏิเสธในครอบครัว และความกลัวล้วนส่งผลต่อความภาคภูมิใจในตนเอง แบบสำรวจของ Human Rights Campaign ปี 2018 รายงานว่าแม้ว่าเยาวชน LGBTQIA+ ส่วนใหญ่ (91%) จะยังมีความภาคภูมิใจในตัวตนของตน แต่ 70% รายงานว่ารู้สึกไร้ค่าหรือสิ้นหวังในช่วงสัปดาห์ก่อนเข้าร่วมทำแบบสำรวจ
นอกจากนี้ 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาได้ยินสมาชิกในครอบครัวของพวกเขากล่าวต่อต้าน LGBTQIA+ ความรู้สึกถูกปฏิเสธนั้นสูงที่สุดในหมู่เยาวชน LGBTQIA+ ผิวดำ มีเพียง 11% เท่านั้นที่กล่าวว่าผู้คนมองกลุ่มชาติพันธุ์ของพวกเขาในเชิงบวก
กลุ่ม LGBTQIA+ วัยหนุ่มสาวและพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ
ความผิดปกติของการกินเป็นวิธีการจัดการกับความเจ็บปวดทางอารมณ์ และบางคนก็ใช้มันเพื่อควบคุมตัวเองเมื่อรู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้ การวิเคราะห์ในปี 2020 ชี้ให้เห็นว่า 54% ของชาว LGBTQIA+ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางการกินอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของพวกเขา อีก 21% สงสัยว่าพวกเขาอาจมีความผิดปกติในการกิน
จะหาการสนับสนุนได้ที่ไหน
แม้ว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติในหมู่ประชากร LGBTQIA+ แต่คน ๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อยู่เงียบ ๆ ตัวเลือกในการสนับสนุนได้แก่
- ติดต่อองค์กรท้องถิ่นหรือธุรกิจที่ให้บริการชุมชน LGBTQIA+ เช่นร้านหนังสือหรือองค์กรที่สนับสนุน
- เข้าร่วมองค์กรสนับสนุน LGBTQIA+ ในสถาบันการศึกษา
- ทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ LGBTQIA+ ที่จะช่วยให้ความมั่นใจ
- แบ่งปันความรู้สึกกับผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ เช่น สมาชิกในครอบครัว ครู หรือพี่เลี้ยง
- ขอความช่วยเหลือจากนักบำบัดหรือที่ปรึกษา LGBTQIA+ เช่น ที่ปรึกษาโรงเรียนหรือศูนย์ให้คำปรึกษาของมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลได้
คุณเองจะสนับสนุนสุขภาพจิตของเยาวชน LGBTQIA+ ได้อย่างไร ?
หากเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็น LGBTQIA+ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ การเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวและล้นหลามสำหรับคุณ คุณต้องการที่จะสนับสนุนพวกเขา แต่อาจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
การยอมรับและการกระทำของคุณสามารถสร้างความแตกต่างได้ อันที่จริง การศึกษาของ The Trevor Project พบว่าการได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อนฝูง หรือบุคคลพิเศษช่วยลดความพยายามฆ่าตัวตายของเยาวชนจาก 22% น้อยลงเหลือเพียง 13% ในทำนองเดียวกัน เยาวชนมีแนวโน้มที่พยายามฆ่าตัวตายเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นหากพวกเขาเข้าถึงเสื้อผ้าที่ยืนยันถึงเพศ สภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่สนับสนุน และผู้คนที่เรียกขานเขาด้วยชื่อและคำสรรพนามที่ตนเลือก
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th