ลูกเราเป็น “แขนคอก” รึเปล่านะ ?
เด็กบางคนอาจจะมีกระดูกแขนช่วงเหนือข้อศอกที่บิดออก คนเป็นพ่อแม่ก็คงกังวลอยู้ไม่น้อย อาการแบบนี้ใช่ “แขนคอก” หรือเปล่า ? โตไปจะหายเองได้ไหม ? หรือจะต้องรักษาอย่างไรถึงจะดีขึ้น กลัวว่าลูกจะมีปมด้อย ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันค่ะ
แขนคอกเป็นอย่างไร ?
แขนโก่งในลักษณะที่มุมข้อศอกชี้ออกไปทางข้างตัว อาการเช่นนี้อาจจะเกิดหลังจากผู้ป่วยรับการรักษากระดูกแขนหักเหนือศอก เมื่อกระดูกติดดีแล้วความพิการอาจยังเหลือให้เห็น
เป็นความเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุกันแน่ ?
ความจริงแล้วเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
- กระดูกพัฒนาผิดรูปตั้งแต่วัยเด็ก
- กระดูกแตกหรือหัก แล้วไม่ได้รับการรักษา
- ความผิดปกติของกระบวนการเจริญเติบโตของกระดูก
- การบาดเจ็บที่กระดูกอ่อนด้านในของกระดูก ทำให้มีการปิดของกระดูกเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้แนวของกระดูกผิดรูป
- โรคกระดูกอ่อน (Rickets) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างกระดูก เนื่องจากขาดวิตามินดี ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง แตกหักง่าย ส่งผลให้แขนหรือขาโก่ง
- โรคพาเจท (Paget’s disease) ส่วนใหญ่พบมากในผู้สูงอายุ เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการสร้างและสลายกระดูก ทำให้กระดูกที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่แข็งแรง จึงทำให้กระดูกโก่งงอได้
การวินิจฉัย
สามารถวินิจฉัยได้โดยการพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจร่างกายโดยวัดจากระยะห่างจากข้อศอกถึงต้นแขน ซึ่งในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป ที่มีแขนทั้งสองข้างโก่งไม่เท่ากัน แพทย์อาจทำการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูกบริเวณที่มีอาการโก่ง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของกระดูก และตรวจเลือดเพื่อหาว่าอาการโก่งเกิดจากโรคอื่น ๆ หรือไม่
รักษาอย่างได้ไหม ?
ถ้าเป็นไม่มีและอายุผู้ป่วยยังน้อยมากก็ไม่ควรจะรักษาแบบผ่าตัด เพราะการผ่าตัดคือการแก้มุมกระดูกส่วนเหนือกว่าส่วนที่เป็นคอกขึ้นไป ต้องแก้ในระยะเวลาที่เด็กโตเต็มที่แล้วหรือโตมากพอ เพื่อป้องกันการแก้มากเกินไปหรือเกิดการผิดรูปซ้ำอีกหลังการผ่าตัดผ่านไปแล้ว แต่ถ้ามีความพิการมากนั้นจำเป็นต้องรีบผ่าตัดแก้ไข เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้เสียกายวิภาคของกระดูกที่ข้อศอกไปถาวร
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด การผ่าตัดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
- การปรับมุมให้กระดูกตรงขึ้น โดยตัดกระดูกให้เป็นรูปโค้งแล้วหมุนข้างในให้ตรงกับข้อพับ จากนั้นนำเหล็กมายึดตรงข้อแล้วยกขึ้นให้เกิดช่องว่าง โดยใส่เหล็กนี้ไปจนกว่ากระดูกมีการเชื่อมติดกัน ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 3-6 เดือนจึงจะใช้งานได้ตามปกติ อีกทั้งผู้ป่วยควรทำกายภาพและออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อความแข็งแรงและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- การเปลี่ยนข้อเทียม เป็นการตัดผิวกระดูกตั้งแต่ข้อพับของแขนลงมา แล้วนำข้อเทียมที่เป็นโลหะมาใส่เชื่อมต่อให้มีรูปร่างได้สัดส่วน แต่ข้อเทียมมีระยะเวลาการใช้งานของมัน จึงต้องมีการเปลี่ยนข้อเทียมใหม่อยู่เรื่อย ๆ หลังผ่าตัดควรระมัดระวังและไม่ควรออกกำลังกายหนัก เพื่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานข้อเทียม
- การผ่าตัดดัดกระดูกข้อ โดยแพทย์จะปรับกระดูกข้อศอกให้ได้รูป จากนั้นกระดูกจะค่อยๆ เชื่อมต่ออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งการผ่าตัดดัดกระดูกจะมีอาการบาดเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกข้อศอก ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- การผ่าตัดชักนำการเจริญเติบโตของกระดูก เป็นการผ่าตัดเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของกระดูกในด้านที่เจริญเติบโตปกติ เพื่อให้กระดูกด้านที่ผิดปกติได้มีโอกาสเจริญเติบโตและได้ยืดกระดูกแขนออกไป เพื่อรักษาอาการโก่ง
หลังผ่าตัดแขนคอก แพทย์จะใส่เฝือกไว้ในระหว่างที่กระดูกกำลังฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งระหว่างที่พักฟื้นแพทย์จะแนะนำให้ฝึกทำกายภาพบำบัดร่วมกับการออกกำลังกาย เพื่อให้ข้อสามารถเหยียดตรงและงอได้เพิ่มมากขึ้น
หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น หรือสงสัยว่าเด็กจะมีอาการแขนคอกหรือมีอาการโก่งจากอุบัติเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันความผิดรูปของแขนที่จะโก่งมากขึ้น เพราะการวินิจฉัยอาการตั้งแต่เริ่มแรกจะช่วยให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้ทัน และได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาอีกด้วย
อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th
มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th