การสอนลูก

ครอบครัวหลายครอบครัวต้องเจอกับประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่ไม่ดีนักเมื่อตระหนักได้ว่านิสัยของลูกกำลังค่อยๆเปลี่ยนไป แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าปัญหานี้เกิดมาจากอะไร พวกเราที่ Motherhood ได้ค้นจนเจอคำตอบบางอย่างที่ทุกครอบครัวควรจะเรียนรู้ไว้ ถ้าลูกของคุณเป็นเด็กขี้โมโหหรืออารมณ์ร้าย นั่นอาจเป็นเพราะเขาหรือเธอไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ เด็กๆอาจทำไปเพราะคิดว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้มีคนสนใจ ถ้าลูกของคุณโกหก นั่นอาจหมายความว่าคุณลงโทษเขาหรือเธอรุนแรงเกินไป ถ้าลูกของคุณไม่เคารพคนอื่น นั่นอาจหมายความว่าพ่อกับแม่มักจะบอกให้เขาหรือเธอทำอะไรบางอย่างโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกที่แท้จริงเลย ถ้าลูกของคุณไม่สามารถลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองเวลาที่เจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก นั่นอาจเป็นเพราะพ่อหรือแม่ชอบไล่เขาหรือเธอต่อหน้าคนอื่น พ่อแม่ไม่ควรทำแบบนี้ แม้แต่ต่อหน้าพี่หรือน้องก็ตามก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อกับแม่จะต้องยอมรับความความแตกต่างในตัวลูกและใส่ใจกับคำขอของพวกเขา คงไม่มีใครอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเหมือนในรูปด้านบนหรอกนะคะ… รูปโดย Natalia Kulakova

เช้าวันอังคาร คุณตื่นมาพบกับลูกวัยสามขวบร้องไห้โยเย คร่ำครวญ คุณหยิบ สมาร์ทโฟน ออกมา เปิดหนังซักเรื่องก่อนจะยัดมือถือใส่มือลูก เจ้าหนูนั่งเงียบ ตากว้าง ตาจ้องจอ นี่คือวิธีที่คุณแม่สมัยใหม่หลายคนใช้เพื่อกล่อมให้ลูกสงบ ข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือการที่มันช่วยให้การใช้ชีวิตของทุกครอบครัวง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภาพของเด็กที่ก้มหน้าเล่นมือถือกลายเป็นภาพชินตาที่เห็นได้ทั่วไป แต่ประมาณไหนล่ะที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าลูกของคุณอาจกำลังติดสมาร์ทโฟนมากเกินไป แน่นอน ลูกของคุณอาจใช้โทรศัพท์เพื่อเป็นอุปกรณ์ให้ความบันเทิง ใช้เพื่อดูวิดีโอบนยูทูปหรือแม้แต่ดาวน์โหลดเกม การใช้โทรศัพท์มือถือจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวน้อยของคุณแทบจะไม่ยอมวางมือจากโทรศัพท์เลย นั่นแหละคือสัญญาณอันตรายที่พ่อแม่ควรจะต้องรีบสังเกตให้เห็นเสียตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากลูกของคุณติดโทรศัพท์มือถือมากเกินไป? มันส่งกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ของลูก สมาร์ทโฟนเป็นส่งที่ส่งผลด้านลบต่อพัฒนาการของเด็กและอาจทำให้เด็กขาดสกิลในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เด็กๆจะเรียนรู้ได้ดีกว่าเมื่อใช้สื่อการสอนที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่เพียงมองเห็นอย่างเดียว…